“ซูเปอร์โพล” ชี้คนไทยส่วนใหญ่หนุนรัฐแจกเงินดิจิทัล ผู้มีรายได้น้อยเชื่อมั่นกระตุ้นศก.

"ซูเปอร์โพล" ชี้คนไทยส่วนใหญ่หนุนรัฐแจกเงินดิจิทัล ผู้มีรายได้น้อยเชื่อมั่นกระตุ้นศก.

 

4 ก.พ. 2567 จากกรณีนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลการศึกษาเรื่อง เงินดิจิทัลที่ประชาชนเชื่อมั่นและรอคอย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,120 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา พบในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยคือรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทมีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.3 และกลุ่มผู้มีรายได้ระหว่าง 15,000 – 35,000 บาทต่อเดือนมีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.6 ในขณะที่ กลุ่มรายได้เกิน 35,000 บาทขึ้นไปมีความเชื่อมั่นร้อยละ 57.5 ว่าการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

 

เมื่อแบ่งออกตามภูมิภาคของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่าในกลุ่มคนในภาคเหนือมีความเชื่อมั่นสูงสุดคือร้อยละ 75.4 รองลงมาคือกลุ่มคนในภาคกลางมีความเชื่อมั่นร้อยละ 74.2 กลุ่มคนในภาคอีสานมีความเชื่อมั่นร้อยละ 73.6 กลุ่มคนกรุงเทพมหานครมีความเชื่อมั่นร้อยละ 68.7 และกลุ่มคนในภาคใต้มีความเชื่อมั่นร้อยละ 65.8 ตามลำดับ

ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มคนอายุน้อยคือต่ำกว่า 20 ปีเกินครึ่งคือร้อยละ 54.1 และกลุ่มคนอายุระหว่าง 20 – 29 ปี ร้อยละ 47.2 ระบุควรเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไร เพราะรออยู่ และที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวนมากหรือร้อยละ 42.5 ที่ระบุ ควรเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไร เพราะรออยู่ เช่นกัน ในขณะที่ กลุ่มคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 31.7 และกลุ่มคนอายุ 50 – 59 ปีมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือร้อยละ 26.7 ที่ระบุ ควรเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไร เพราะรออยู่ อย่างไรก็ตาม ที่น่าสังเกตคือ กลุ่มคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 43.8 และกลุ่มคนอายุ 50 – 59 ปี ร้อยละ 42.2 ไม่มีความเห็น

ข่าวที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งออกตามภูมิภาค พบว่า กลุ่มคนในภาคกลางส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 และกลุ่มคนในภาคใต้จำนวนมากหรือร้อยละ 43.9 ระบุรออยู่ ควรเดินหน้าต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในขณะที่ กลุ่มคนในภาคเหนือเกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 36.8 และกลุ่มคนในกรุงเทพมหานครร้อยละ 32.6 ระบุ รออยู่ ควรเดินหน้าต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่น่าสังเกตคือ กลุ่มคนในภาคอีสานมีจำนวนน้อยที่สุดหรือร้อยละ 26.4 ที่ระบุ รออยู่ ควรเดินหน้าต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่กลุ่มคนในภาคอีสานมีสัดส่วนมากที่สุดคือร้อยละ 44.5 และกลุ่มคนในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 41.6 ที่ไม่มีความเห็น

 

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ระบุว่า โพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนมีความเชื่อมั่นระดับสูงว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเฉพาะในกลุ่มคนรายได้น้อยต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน และในกลุ่มรายได้ 15,000 ถึง 35,000 บาทต่อเดือน และในกลุ่มคนรุ่นใหม่กับกลุ่มคนเกษียณอายุคืออายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลโดนใจและตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนรายได้น้อยและคนในช่วงอายุน้อยของคนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนสูงวัยที่สะท้อนถึงความต้องการให้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเป็นจริงขึ้นมาเพราะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ต้องการใช้เงินและเชื่อมั่นว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า เมื่อแบ่งกลุ่มคนออกตามภูมิภาคต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของกลุ่มคนในแต่ละภูมิภาค คือ กลุ่มประชาชนส่วนใหญ่รออยู่และเห็นว่าไม่ต้องทบทวนแก้ไขอะไร โดยเฉพาะกลุ่มคนในภาคกลางที่มีความเป็นกลางในทางกลางความหลากหลายสูงในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยและภาคใต้ที่กลุ่มคนส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ที่น่าสังเกตคือ กลุ่มคนในภาคอีสานแม้จะมีสัดส่วนของคนที่ระบุว่ารออยู่และเห็นว่าไม่ต้องทบทวนปรับปรุงอะไรน้อยกว่าทุกภาคน่าจะเป็นเพราะกลุ่มคนในภาคอีสานส่วนใหญ่อย่างไรก็เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยจึงส่งผลให้สัดส่วนของคนที่ไม่มีความเห็นมากกว่ากลุ่มคนในภาคอื่น ๆ เพราะอย่างไรก็ได้ไม่กระทบรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่กลุ่มคนในกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนของคนที่ไม่มีความเห็นสูงเช่นกันแต่ลักษณะของคนกรุงเทพมหานครแตกต่างจากกลุ่มคนในภาคอีสานเพราะคนกรุงเทพมหานครแม้จะมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยสูงแต่มีความหลากหลายทางความคิดและชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก

อย่างไรก็ตาม คือ ข้อห่วงใยของผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพลที่เคยทำวิจัยพบว่าความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยของประชาชนคนไทยบนโลกออนไลน์อยู่ในสภาวะวิกฤตเพราะข้อมูลของประชาชนคนไทยเกือบทั้งประเทศกำลังตกอยู่ในมือขบวนการมิจฉาชีพ ทั้งชื่อ นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทร เลขที่บัญชี สถานะทางการเงิน และล่าสุดข้อมูลเชิงทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนกำลังอยู่ในมือของขบวนการผู้เชี่ยวชาญทางไซเบอร์ทั้งกลุ่มขาว กลุ่มเทา ๆ และกลุ่มดำ อย่างน่าวิตกกังวลมาก ที่รัฐบาลควรใส่ใจในการเตรียมแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชน

“ทางออกคือ ยกระดับนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลเป็นวาระแห่งชาติ เร่งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายไซเบอร์และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นสูงรองรับการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลให้ทุกคนปลอดภัยไม่ซ้ำรอยคดีจำนำข้าว ลดแรงเสียดทานจากกลุ่มต่อต้าน ผลที่ตามมาคือ รัฐบาลชุดปัจจุบันของ นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน จะเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่สามารถเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นสูง อาทิ เทคโนโลยีบล็อกเชน หรือทางเลือกอื่นของบริการเทคโนโลยีความปลอดภัยสูงทางไซเบอร์ที่ได้มาตรฐานสากลมีธรรมาภิบาล เช่น AWS ที่มีโทคโนโลยีดิจิทัลเป็นไปตามกรอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Framework) และเทคโนโลยีดิจิทัลตามมาตรฐานของ NIST สหรัฐอเมริกา ISO มาตรฐานโลกและกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นด้านการจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากและระดับประเทศ รักษาความมั่นคงของชาติ สถาบันหลักของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนไปในคราวเดียวกันนี้ได้สำเร็จตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาล” ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าว

 

 

ล่าสุดทางด้าน นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึง ผลการศึกษาของสำนักวิจัย Super Poll ซึ่ง ศึกษาเรื่องเงินดิจิทัลที่ประชาชนเชื่อมั่นและรอคอย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า ตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวนทั้งสิ้น 1,120 ราย ระหว่างวันที่ 1–3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยคือรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทมีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.3 และ กลุ่มผู้มีรายได้ระหว่าง 15,000 – 35,000 บาทต่อเดือน มีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.6 ในขณะที่ กลุ่มรายได้เกิน 35,000บาทขึ้นไป มีความเชื่อมั่นร้อยละ 57.5 ว่าการแจกเงินดิจิทัลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดยเมื่อแบ่งออกตามภูมิภาคของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่าในกลุ่มคนในภาคเหนือ มีความเชื่อมั่นสูงสุด คือร้อยละ 75.4 รองลงมา กลุ่มคนในภาคกลางมีความเชื่อมั่นร้อยละ 74.2 กลุ่มคนในภาคอีสาน มีความเชื่อมั่นร้อยละ 73.6 กลุ่มคนกรุงเทพมหานครมีความเชื่อมั่นร้อยละ 68.7 และกลุ่มคนในภาคใต้มีความเชื่อมั่นร้อยละ 65.8 ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งกรณีศึกษาตามอายุ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มคนอายุน้อยคือต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 54.1 และกลุ่มคนอายุระหว่าง 20 – 29 ปี ร้อยละ 47.2 กลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 42.5 กลุ่มคนอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 31.7 และกลุ่มคน อายุ 50 – 59 ปี ร้อยละ 26.7 ระบุว่าควรเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อ

“รัฐบาลรับฟังทุกความคิดเห็น และเข้าใจดีถึงระดับความวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยรัฐบาลพร้อมเดินหน้าตามนโยบายที่เชื่อมั่นว่าจะเกิด ประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชนไทย“ นายชัย กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สุดช้ำ หลังคำพิพากษาศาลฎีกา พ่อแม่ น้องหลิว 8 ปี ที่รอคอย โอดครวญ คงตายก่อนเยียวยา ไม่เคยได้รับการเยียวยา จากจำเลย หลังศาลฎีกา ตัดสิน จำคุกจำเลย ตลอดชีวิต คดี ผอ.โรงเรียน ฆาตกรรมลูกสาว สาวโรงงาน
พ่อเลี้ยงหื่น! มอมเหล้าลูกเลี้ยง วัย 16 ปี จนขาดสติก่อน ลวนลาม ขณะแม่อยู่ด้วยก็ไม่เว้น เครียดหนักเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย สุดอึ้ง!! เอาเรื่องไปบอกแม่ กลับไม่เชื่อ
พล.ต.ท.ธนายุตม์ ยื่นสำนวนคดี “แอม ไซยาไนด์” ให้อัยการด้วยตัวเอง 14 รายการ
ราชกิจจาฯเผยแพร่ พระบรมราชโองการ ประกาศ ให้ชื่อใหม่ "เจ้าคุณพระสินีนาถ พิลาสกัลยาณี"
“แม่สามารถ” เครียดจัด ผูกคอคาห้องขังดีเอสไอ จนท.ช่วยระทึก ห่วงลูกจะอดข้าวประท้วง ขอความเป็นธรรม
เคราะห์ร้าย ! หนุ่มวัย 18 ปี ขี่จยย. ถูกกันสาดหล่นใส่หัวเจ็บสาหัส
ยูเครนลั่นไม่ทำลายทุ่นระเบิดอ้างถูกรัสเซียรุกราน
ผบ.ตร.สั่งตรวจสอบดำเนินคดี “กลุ่มน้ำไม่อาบ” ทุกมิติ พร้อมเอาผิดตามหลักฐานคลิปที่ปรากฏ
ขุนเขา ‘ฮว่าซาน’ ่ของจีนสวยสะกดยามห่มหิมะขาว
ทหารพรานจัดกำลังตรวจค้นเก็บกู้บ่วงดักสัตว์ป่า

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น