“ชัยธวัช” พูดเต็มปากโกรธมาก รทสช.ชงญัตติทบทวนอารักขาขบวนเสด็จฯ ติงจนท.รัฐจัดการปัญหา อ้างห่วงเหมือนเหตุ 6 ตุลา

"ชัยธวัช" พูดเต็มปากโกรธมาก รทสช.ชงญัตติทบทวนอารักขาขบวนเสด็จฯ ติงจนท.รัฐจัดการปัญหา อ้างห่วงเหมือนเหตุ 6 ตุลา

“ชัยธวัช” พูดเต็มปากโกรธมาก รทสช.ชงญัตติทบทวนอารักขาขบวนเสด็จฯ ติงจนท.รัฐจัดการปัญหา อ้างห่วงเหมือนเหตุ 6 ตุลา

วันที่ 14 ก.พ. 67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม วาระการอภิปรายญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นอภิปราย ว่า เมื่อได้ฟังอภิปราย ตนเองเห็นว่าเรามีความเห็นร่วมกันหลายอย่าง คือ การรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงค์ ผู้นำทางการเมือง หรือแม้แต่บุคคลสาธารณะที่สำคัญนั้น เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นหลักปฏิบัติสากล

ชัยธวัช

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า เราเห็นตรงกันว่าขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าไม่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนเกินสมควร เราไม่อยากเห็นเหตุการณ์อย่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์เกิดขึ้นอีก เมื่อนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นผู้เสนอญัตติแรกนั้น ยอมรับว่าตนเองนั้นโกรธ แต่ก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ ด้วยเหตุที่นึกถึงพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการประนีประนอม เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ ไม่ใช้อารมณ์โกรธ ก็คิดที่จะหาวิธี หรือเสนอวิธีการที่จะบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดการบานปลาย นำไปสู่การปะทะ และการขัดแย้งที่บานปลายกว่านี้ถือเป็นเรื่องที่ดี

นายชัยธวัช ระบุว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะบริหารจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ให้บานปลายมากกว่านี้อย่างไร ถือเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงอภิปรายอย่างรอบด้าน ซึ่งยืนยันว่า เวลาเราพิจารณาเรื่องมาตรฐานงานปลอดภัย เราไม่สามารถที่จะพิจารณาเฉพาะเรื่องกฎหมายระเบียบแผนในการถวายความปลอดภัยได้อย่างเดียวเท่านั้น

 

นายชัยธวัช ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่กระทบต่อการถวายความปลอดภัยต่อองค์พระมหากษัตริย์ และพระบรมมาวงศานุวงค์อย่างรุนแรงที่สุด ว่า วันที่ 22 กันยายน 2520 เคยเกิดเหตุการณ์ลอบทำร้ายในหลวงรัชกาลที่เก้า และพระบรมวงศานุวงค์หลายพระองค์ที่เสด็จไปด้วย ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปจังหวัดยะลา ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลายเท่า มีความปั่นป่วนในขบวนเสด็จ และเกิดการลอบวางระเบิดใกล้ที่ประทับของพระองค์ จะพิจารณาเรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของเหตุการณ์ในภาคใต้ขณะนั้นด้วย เหตุการณ์การถวายความปลอดภัย จึงเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมือง และปัญหาทางความคิด ซึ่งในครั้งนั้นก็ใช้วิธีทางการเมืองจัดการ โดยเกิดกลุ่มฝ่ายขวาทางการเมือง พยายามใช้กรณีที่เกิดขึ้น ปลุกปั่น กล่าวหา โจมตีว่า รัฐบาลขณะนั้น ไม่มีความจงรักภักดีเพียงพอ จนนำไปสู่การรัฐประหาร และกว่าประเทศจะฟื้นฟูไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต้องใช้เวลาหลายปี

ส่วนตอนนี้เราก็ชอบกันดีว่าไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยอัน เกิดจากการก่ออาชญากรรม เพื่อหมายปองทำร้ายพระบรมวงศานุวงค์ แต่เป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง และความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งต้องยอมรับในส่วนนี้ ถึงจะพิจารณาอย่างรอบด้านได้ว่าจะจัดการอย่างไร

 

นายชัยธวัช กล่าวว่า จากกรณีนี้ เราเรียนรู้ได้ว่ารัฐไทย สามารถทำให้คนคนหนึ่งที่แสดงออกทางความเห็นทางการเมือง โดยถือกระดาษหนึ่งแผ่น ตัดสินใจทำในสิ่งที่คนไทยจำนวนมากไม่คาดคิดว่าจะกล้าทำ จะต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง เมื่อประชาชนอยากพูด แต่เราไม่อยากฟัง เพราะมันไม่น่าฟัง และไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยิน เราพยามไปปิดปากเขา สุดท้ายจึงเลือกตัดสินใจตะโกน และนำมาสู่สถานการณ์ที่เราไม่พึงปรารถนา ถือเป็นบทเรียน ที่เราควรจะพิจารณาหลังจากนี้ โดยเฉพาะฝ่ายบริหาร

ในขณะเดียวกัน คนที่กำลังตะโกนอยู่ก็ควรจะไตร่ตรองว่า วิธีการอะไรที่จะทำให้คนหันมาเปิดใจรับฟังมากขึ้น การตะโกน ยิ่งทำให้ไม่มีใครฟัง อาจเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเช่นเดียวกัน

สุดท้าย ไม่ว่าจะฝ่ายไหนเราไม่ควรจัดการสถานการณ์ด้วยการผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สุดขั้วไปมากกว่านี้ อย่างที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร บอก อย่าใช้น้ำมันดับไฟ ถ้าถามว่าวันนี้เราจะเสนออะไรไปยังฝ่ายบริหาร นอกจากการเสนอเรื่องขอทบทวนกฎหมายแล้วนั้น สิ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้คือกุศโลบายทางการเมือง ตนเองไม่สบายใจที่ได้ยินสมาชิกฝั่งรัฐบาลพูดกันว่า ถ้าไม่พอใจให้ไปอยู่ประเทศอื่น หนักแผ่นดิน นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง ตนเองนึกว่าเราอยู่ในรัฐบาลจากการรัฐประหาร

“เราเคยมีบทเรียนมาแล้วว่าการใช้ความจงรักภักดีมาแบ่งแยกประชาชน สุดท้ายก็ไม่ส่งผลดีกับใครเลย เราผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลามาแล้ว ที่สมาชิกหลายท่านพูดถึง มันสอนเราแล้วว่า สุดท้ายแล้วต่อให้เราใช้กำลัง ใช้อาวุธร้ายแรง ยิงเข้าไปสู่ประชาชนที่เราไม่อยากฟัง ฆ่าเขาตายในการเมือง ลากเขาไปแขวนคอใต้ต้นมะขาม ตอกอก หรือกล่าวหาผู้คนจำนวนมากว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนพวกเขาไม่มีทางเลือก แล้วก็ต้องเข้าไปเป็นคอมมิวนิสต์จริง ๆ ในป่า ไม่ใช่ทางออก” นายชัยธวัช กล่าว

สุดท้าย เราต้องจบด้วยการแก้ไขปัญหาทางการเมือง นิรโทษกรรม เปิดโอกาสให้คนที่ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ มาร่วมพัฒนาชาติไทย มันวนลูปอยู่แบบนี้ ตนเองหวังว่ารัฐบาลของเรา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีสติ และระงับความโกรธ อย่างที่เจ้าของญัตติได้เปิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก เพิ่มพื้นที่ตรงกลางให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ให้ประเทศไทยออกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาเกือบสองทศวรรษ ให้ประเทศมีสมาธิเดินหน้าไปเผชิญหน้ากับโลกที่ผันผวนมากขึ้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น