การจัดอีเว้นท์แก๊ง 3 นิ้วอดอาหารและน้ำประท้วงภายในคุก แท็กทีมกับการเคลื่อนไหวนอกคุกของ “กลุ่มทะลุวัง” และ “กลุ่มทะลุแก๊ส” จัดกิจกรรมส่งกำลังใจให้เพื่อน โดยยึด “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เป็นฉากหลังจัดอีเว้นท์ทำกิจกรรมเขียนจดหมายและวาดรูป เพื่อส่งต่อกำลังใจให้กับผู้ต้องหาคดี 112 และ หัวโจกก่อคดีคุกคาม “ขบวนเสด็จฯ” จนต้องติดคุก เพราะไม่สำนึกผิดยังกระทำผิดซ้ำซาก แม้ได้รับความเมตตาจากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ไม่ยอมกลับตัวกลับใจไปเรียนหนังสือให้จบ จึงต้องถูกคุมขังเพราะฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง เมื่อเข้าสู่เรือนจำกลับก่อความวุ่นวายด้วยทำการอดอาหารและน้ำประท้วงเรียกร้องให้ “ศาลยุติธรรม” คืนอิสรภาพแก่ “น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม” หรือ “บุ้ง” , น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ “ตะวัน” และ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ “แฟรงค์” เทคนิคการเคลื่อนไหว คือ จะขนนักกิจกรรมทางการเมืองทยอยเดินทางมารวมตัวพร้อมกับเตรียมสถานที่ อาทิ นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำ, นายคทาธร หรือ ต๊ะ, นายจิรภาส กอรัมย์ หรือ แก๊ป ทะลุแก๊ซ และนางเงินตา คำแสน หรือมานี เป็นต้น ต่างสวมใส่เสื้อยืดสีม่วง ลาย น.ส.ทานะวัน ที่กำลังถือโพลอยู่ในมือ
จากนั้นนักกิจกรรมปูผ้าสีดำบนทางเท้า ก่อนนำดอกทานตะวันมาวางเรียง พร้อมตั้งโต๊ะสำหรับเขียนข้อความให้กำลังใจนักโทษทางความคิด โดยมีผู้ร่วมเขียนข้อความให้กำลังใจ อาทิ “ตะวัน พวกเรายังอยากเห็นรอยยิ้มของตะวันนะ ยังอยากต่อสู้เคียงข้างกับตะวัน, ถึงพี่น้องผองเพื่อนในเรือนจำทุกคน ทุกการต่อสู้ของทุกคนมีค่าเสมอ คนทางนี้จะสานต่อสิ่งที่ทุกคนได้เริ่ม และได้ทำไว้เอง ยกเลิก112” เป็นต้น
พล็อตเรื่องถัดมา คือ กลุ่มผู้ชุมนุมนัดหมาย “ยืน หยุด ขัง” เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 12 นาที และร่วมกันจุดเทียนเพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัวในเวลา 19.00 น. โดยให้ “นายสมหมาย ตัวตุลานนท์” บิดา น.ส.ทานตะวัน บรรยายสภาพอาการโคม่าล่าสุดของ “ตะวัน” ว่า ตอนนี้ร่างของ “ตะวัน” ผอมซูบเห็นหนังหุ้มกระดูก หน้าตอบ มีอาการร้อนด้านในตัวตลอดเวลา นอนไม่หลับ ปวดท้อง แพทย์แจ้งว่าแร่ธาตุในตัวดีขึ้น มีการอาบน้ำ รู้สึกมึน พูดเสียงเบามาก เหนื่อยง่าย หลายครั้งพูดวกวน และต้องพยุงเวลาเข้าห้องน้ำ โดย “กรมราชทัณฑ์” อนุญาตให้บิดาและมารดาเข้าเยี่ยมเท่านั้นจากนั้น “กลุ่มทะลุวัง” และ “กลุ่มทะลุแก๊ส” จึงสลายตัวไป
การจัดอีเว้นท์ดังกล่าวถึงกับทำให้ “นายนันทิวัฒน์ สามารถ” อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า “ตายประชดป่าช้า” กลุ่มสามกีบนี่แข็งแรงมากๆ ติดคุกทีไรอดข้าวอดน้ำทุกทีอดทีหนึ่งหลายวัน พลังแก่กล้าคนธรรมดาอดข้าวอดน้ำไม่กี่วันไปไม่รอดแล้ว แต่นี่อยู่ได้หลายวันการต่อสู้อหิงสาต้องแบบ “มหาตมา คานธี” ไม่ระรานใคร ไม่ก้าวร้าว ไม่พูดอย่างทำอย่าง สมถะอดข้าวอดน้ำประท้วงเพื่อให้ปล่อยตัวหากทำได้จริง นักโทษคงหมดคุกแล้วในอดีตมีนักการเมืองคนหนึ่งเคยอดข้าวประท้วงอย่างนี้เป็นเดือน ๆ แต่ไม่ตายสักที เพราะแอบกินตอนดึกที่เขียนเรื่องนี้ ไม่อยากให้ตายนะเพียงแต่เห็นว่า มุกนี้มันเก่าไปแล้วประกันออกไปก็ทำผิดซ้ำกลับมาอีกวนเวียนอย่างนี้ ศาลคงต้องตัดวงจรอย่าไปเชื่อองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ ฝรั่งต่างชาติที่ยุให้ทำเช่นนี้ มันไม่ได้รักเราจริงมันดีแต่หลอกใช้ ผลักไปตายแทนมันเกิดวิกฤตมันก็หนีกลับบ้านมันหลายชาติเหลือแต่ซากหักพัง ที่ซุกหัวนอนยังไม่มีอย่าว่าแต่อาหารน้ำ อย่าทำผิดซ้ำซาก ไม่เข็ดหลาบจำไว้คนทำผิดต้องติดคุกหยุดพฤติกรรมก้าวร้าว หยุดหมิ่นสถาบัน
ดังนั้นการจัดอีเว้นท์ทางการเมืองด้วยการอดอาหารและน้ำประท้วงของ “บุ้ง”, ตะวัน” หรือ “แฟรงค์” จนต้องหามส่งโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่า หากนำไปเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการใช้วิธีอดอาหารและน้ำประท้วงแบบอหิงสาของจริง ที่โด่งดังไปทั่วโลกของ “มหาตมะ คานธี” บอกได้เลยว่า ขบวนการ 3 นิ้วชิดซ้ายเทียบไม่ติดฝุ่น เพราะสิ่งที่ “มหาบุรุษแห่งอินเดีย” ทำคือต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่เป็นผู้นำทางการเมืองและมีอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อทวงคืนเอกราชด้วยการสนับสนุนอารยขัดขืนที่ปราศจากความรุนแรง “คานธี” นับเป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สนับสนุนความรุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นแต่ไม่สนับสนุนความรุนแรงกับสัตว์ด้วย การประท้วงของคานธี เน้น 5 เรื่อง ดังนี้ 1.การปฏิรูปการเมือง 2.ความแบ่งแยกทางศาสนา 3.ความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ 4. ความเหลื่อมล้ำในสังคม และ 5.ปัญหาความรุนแรงในสังคม