“พรรคก้าวไกล” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ประดิษฐ์วาทกรรมพื้นที่ทับซ้อนทั่วประเทศ เอาประชาชนบังหน้า อ้างป่าสงวนที่มีลักษณะเสื่อมโทรมมีจุดยืนและความคิดเห็นอย่างไรต่อที่ดิน 2 พันกว่าไร่ ที่ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจครอบครอง และถูกชี้ขาดโดยหน่วยงานรัฐแล้วว่าเป็นพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จะทำอย่างไรต่อไป เลิกเล่นขายของหลอกเด็ก ทำตัวดีแต่ปั่นกระแส แต่เจอของจริงไม่กล้าทำอะไร เสียทีเถอะนี่คือเรื่องรุกป่า ที่ก้าวไกลไม่กล้าแตะ อย่าให้ก่อเค้าเป็นขบวนการประชาธิปไตยรุกป่า ฟอกป่าเป็นของเอกชน นั้นคือ คำกล่าวของ “นายสันติสุข มะโรงศรี” ผู้ประกาศข่าวชื่อดังสถานีข่าว “ท็อปนิวส์” จัดหนัก “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ดับยโสโอหัง “พรรคก้าวไกล” สะท้านสะเทือน “นายทุนพรรคส้ม” เข้าอย่างจัง
กรณีที่ “นายพิธา” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ”พรรคก้าวไกล” เล่นใหญ่เกินเบอร์ด้วยการไปเปิดเวทีที่วัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พูดเรื่องปัญหาที่ดิน ด้วยการกล่าวว่า “เราพบว่าหน่วยงานราชการต่างๆ ถือแผนที่คนละฉบับกัน ทำให้ที่ดินเกิดการทับซ้อนกัน เช่น ในหลายพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน แต่ในความเป็นจริงแล้วคือป่าสงวนที่มีลักษณะเสื่อมโทรม มีประชาชนและชุมชนเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว โดยตามตัวเลขที่ กรรมาธิการที่ดินฯได้มาเชื่อว่ามีแนวเขตตามกฎหมายป่าสงวนที่ดูแลโดยกรมป่าไม้ 60 กว่าล้านไร่ คงสภาพป่า 40 กว่าล้านไร่ กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม เป็นที่ทำกินราษฎร และไม่มีสภาพเป็นป่าแล้วประมาณ 21 ล้านไร่ดังนั้น เราจะผลักดันให้หน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า และน้ำประปาหรือไม่ แทนที่จะเป็นอธิบดีกรมหรือรัฐมนตรีประจำกระทรวงที่นั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อลดปัญหาการติดขัดคอขวดในการตัดสินใจ”
งานนี้ “นายสันติสุข มะโรงศรี ” ต้องออกมาสวนหมัดน็อค “นายพิธา” ไล่ถลุงหมัด “พรรคก้าวไกล” โดยเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์ ระบุข้อความว่า พรรคก้าวไกลไม่พูดความจริงกับประชาชนว่า หนึ่งในกรณีที่เอกชนอ้างว่าได้ที่ดินมาโดยชอบ แต่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็คือกรณีของ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และครอบครัวมหาเศรษฐีจึงรุ่งเรืองกิจ เฉพาะป่าที่ราชบุรีก็ครอบครองกันอยู่ 2 พันกว่าไร่วันนี้ พรรคก้าวไกล กำลังเอาชาวบ้านออกหน้าเวลาพูด แต่ไม่เปิดเผยถึงกรณีนายทุน หรือเศรษฐี หรือกลุ่มอำนาจที่ใกล้ชิดกับพรรคพวกตัวเองเลย
น่าผิดหวังอย่างมาก ตอกย้ำเนื้อแท้ของพรรคก้าวไกล ว่าไม่ตรงปก ไม่ตรงความคาดหวังที่ประชาชนหลงเชื่อ อุตส่าห์ให้โอกาสได้เข้าสู่อำนาจรัฐ ได้มีสส.ในสภา สุดท้าย ก็อาศัยตำแหน่งและใช้โอกาสนั้น ไปรับใช้หรือเอื้อประโยชน์แก่เจ้าของพรรคตัวจริง หรือไม่ ทั้งกรณีแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และกรณีฟอกป่านี้ด้วย พร้อมกับยกตัวอย่าง ดังนี้
1. กรณีหมุด ส.ป.ก.รุกป่าเขาใหญ่ น่าจะมี “ไอ้โม่ง” ขบวนการปักหมุด ส.ป.ก. เพื่อออกเอกสารส.ป.ก.ให้กับประชาชน ทั้งๆ ที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่า “นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติเปิดเผยว่า พื้นที่พิพาทบริเวณเขาใหญ่ พบหมุด ส.ป.ก.เบื้องต้น ส.ป.ก 27 หมุด เสาหลักเขต 5 ต้น แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ยิ่งกว่านั้น ทีมพญาเสือตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์ของสำนักจัดการแผนที่และสารบบที่ดิน พบว่า มีการกำหนดพื้นที่สำหรับการปฏิรูปที่ดิน มากถึง 2,933 ไร่ โดยมีการตีเป็นรูปแปลงเพื่อออกเอกสาร ส.ป.ก.4-01 ถึง 42 แปลง เนื้อที่ประมาณ 972 ไร่ และยังพบรายชื่อบุคคลผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.4-01 ไม่ใช่ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่เข้าข่ายการเป็นเกษตรกร ขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯให้ตรวจสอบแล้ว และรมว.ธรรมนัสประกาศจะให้เพิกถอน ส.ป.ก.ทั้งหมดในบริเวณดังกล่าว
นายชัยวัฒน์ ระบุว่า ทั่วประเทศอาจจะมีกรณีรุกป่าอุทยานแห่งชาติแบบนี้กว่า 2 แสนไร่ เรื่องนี้ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับการปักหมุด ส.ป.ก.ล้ำที่ดินเขาใหญ่ และมีขบวนการจ้องงาบที่ดินเขาใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลจริง จะต้องลงโทษและดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
2. กรณีที่ดินรุกป่าสงวนแห่งชาติ 2 พันว่าไร่ ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏจากการตรวจสอบของกรมพัฒนาที่ดินว่า ตำแหน่งที่ดินของ น.ส. 3 ก พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออก น.ส. 3 ก ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2497 ข้อ 3 ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 และ กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 พ.ศ.2497 ข้อ 8 ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 จึงมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 กจำนวน 59 ฉบับดังกล่าว ตลอดจนเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเสียทั้งหมด น.ส. 3 ก ข้างต้นนั้น เนื้อที่รวม 2 พันกว่าไร่ ทั้งหมด มีชื่อบุคคลระดับมหาเศรษฐีถือครองอยู่ได้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ , นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ
และ 3. คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ตอกย้ำ คำสั่งเพิกถอน น.ส. 3 ก ชอบแล้ว โดยชี้ว่า จากการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินของหน่วยงานต่างๆ ตามหลักวิชาการที่ดิน ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากแผนที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดิน มาตราส่วน 1 : 30,000 เห็นว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก อยู่ในแนวเขตที่ดิน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 ได้กำหนดให้เป็นเขตพื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” และต่อมาได้มีการประกาศกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” ตามกฎกระทรวง ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก ตามความพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. กรณีข้างต้น ไม่ผูกมัดกับความผิดทางอาญา ซึ่งจะต้องพิสูจน์เจตนาต่อไป โดยส่วนของคดีอาญาฐานรุกป่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ , นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกแจ้งข้อหานั้น คดีก็ยังเนิ่นช้า ยาวนาน และยังไปไม่ถึงศาลเสียที มีรายงานว่า อัยการและพนักงานสอบสวนจะมีคำสั่งไม่ฟ้องบุคคลใด อย่างไร แต่ก็ยังไม่มีการแถลงชี้แจงอย่างเป็นทางการ และ 5. น่าสงสัยว่า ปัจจุบัน สถานะของที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” ข้างต้นนั้น ถูกดำเนินการให้กลับมาเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือยัง?
คำกล่าวของ “นายสันติสุข” กระทุ้งกระบวนการยุติธรรมให้เร่งปิดจ็อบและดำเนินการคดีดังกล่าวให้เป็นที่กระจ่างแก่สังคมคลายข้อสงสัยว่าไม่ได้อุ้มนายทุนรุกป่า พร้อมกับจี้ใจดำ “นายทุนพรรคส้ม” เข้าเต็มเป้า ว่าเมื่อชี้ชัดแล้วว่าที่ดิน 2 พันกว่าไร่เป็นของหลวงจริง แน่จริงกล้าเสียสละเอามาแจกคนจนได้มีที่ดินทำกิน เสียสละแค่นี้ มหาเศรษฐีรวยล้นฟ้าขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก