นพ.เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และคณะประชาชนทวงคืนความยุติธรรม 2553 (คปช.53) พร้อมญาติผู้สูญเสีย ยื่นหนังสือถึงนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทวงคืนสัญญารื้อฟื้นคดีที่ถูกแช่แข็งตั้งแต่ปี 2553
นพ.เหวง กล่าวถึงข้อเสนอว่า 1.ตั้งคณะกรรมการและคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, ตัวแทนพรรคการเมืองฝ่าย, ตัวแทนตัวแทนผู้สูญเสีย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย เพื่อตรวจสอบคดีความกรณีปี 2553 ที่ถูกแช่แข็ง ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายหรือตามหลักนิติรัฐนิติธรรม รวมทั้งคดีความที่ถูกปฏิบัติต่อเยาวชน ประชาชนปี 2563 ให้เป็นไปตามกฏหมายที่ได้ลงนามหลักสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ รวมถึงเร่งรัดคดีความที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชนและยังค้างคาอยู่ที่หน่วยงานต่างๆ
2.แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พระธรรมนูญศาลทหาร, พระธรรมนูญศาลยุติธรรม, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีที่ทหารและนักการเมืองทำความผิดทางอาญาต่อประชาชนให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ใช่ทหารขึ้นศาลทหาร นักการเมืองขึ้นศาลนักการเมือง เหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 3.ขอให้ลงนามรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีเหตุการณ์ 2553 ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์แต่ประการใด
นพ.เหวง กล่าวต่อว่า 4.ดำเนินการเพื่อแก้ไขให้ได้รัฐธรรมนูญของประชาชนให้ได้ระบอบประชาธิปไตยแท้จริง 5.แก้ไขกฎหมายอื่นอันเป็นผลพวงการทำรัฐประหาร รวมทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรรัฐซ้อนรัฐ กอ.รมน.กฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ที่กลายเป็นเครื่องมือจัดการผู้เห็นต่างทางการเมือง 6.ดำเนินการเพื่อปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพ และองค์กรอิสระอย่างจริงจัง 7.กระจายอำนาจบริหารจากส่วนกลางไปยังภูมิภาคเพื่อแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ เจ้าขุน มูลนาย และการคอร์รัปชั่นส่งนายใหญ่ตามลำดับให้ผู้บริหารผ่านการเลือกตั้งของประชาชนและถูกตลวจสอบได้ง่าย และ 8.ให้วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด หรือมาจากประชาชนโดยอ้อม ผ่านการคัดสรรตามโควตาสส. ในรัฐสภาของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งทั่วไป
นพ.เหวง กล่าวด้วยว่า เราสนับสนุนการนิรโทษกรรมคดีความของผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเรียกร้องทวงความยุติธรรมของประชาชน เพื่อการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐ ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงข้อเรียกร้องของเราในกรณีการปราบปรามประชาชนปี 2553 เป็นข้อเรียกร้องให้รัฐดำเนินการตามกฎหมายของประเทศและระหว่างประเทศที่เราลงนามไปแล้ว เพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่มีการฆ่าประชาชนมือเปล่ากลางถนนครั้งแล้วครั้งเล่าอีกต่อไป
ด้านนายชัยธวัช กล่าวว่า ในฐานะฝ่ายค้านเราพยายามที่จะค้นหาข้อเท็จจริง เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ในเดือนเมษายน และพฤษภาคม 2553 แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะยังเป็นฝ่ายค้านอยู่ เราพยายามทำอย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสานงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่เป็นระยะ เพื่อที่จะติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ค้างอยู่ในสารบบซึ่งยังไม่มีการสั่งฟ้องขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคดีความที่มีการยื่นสั่งฟ้องไปแล้ว แต่ก็ยังถูกตีตกด้วยสาเหตุ ในแง่เทคนิคทางกฎหมาย อย่างน้อยทั้ง 62 ศพที่ยังไม่มีการไต่สวนการเสียชีวิตจนถึงวันนี้ ก็มีการติดตามอยู่เป็นระยะเพื่อที่จะมีการผลักดันให้คดีความเหล่านี้มีความคืบหน้าก็เป็นเรื่องที่เราติดตามอยู่ จึงขอแจ้งให้ญาติวีรชนได้รับทราบ
นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะมีการรับข้อเสนอเพื่อผลักดันให้มีคณะกรรมการในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งน่าจะมีหลายช่องทาง หากจะให้มีประสิทธิภาพ คณะกรรมการชุดนี้ต้องมีอำนาจทางกฎหมายพอสมควร ซึ่งตนก็อยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางการตรากฎหมายนิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่ได้พูดคุยกันเฉพาะเรื่องนิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว แต่มีการค้นหาความจริงเกี่ยวกับความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดคือการสลายการชุมนุมปี 2553 โดยตนใช้ช่องทางนี้ในการผลักดันด้วย ขณะเดียวกัน กมธ.ของสภาก็น่าจะทำได้ แต่อาจจะมีข้อจำกัดในการเรียกพยานหลักฐานและบุคคล รวมถึงจะมีการหารือกันกับ กมธ.การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าจะมีฝ่ายรัฐบาลเป็นประธาน กมธ.แต่ก็คิดว่าจะสามารถพูดคุยกันได้
“พรรคก้าวไกลยังได้มีการพิจารณากฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาทบทวนกฎหมายความมั่นคงต่างๆ ที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงได้ โดยที่ไม่ต้องรับผิด รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมาก”