เล่นใหญ่เกินเบอร์แบบนี้คอการเมืองอย่าง “นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรับไม่ได้ ต้องออกมาสั่งสอน “นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ตามราวี “บิ๊กป้อม” หรือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ออกมาแขวะ ถ้าจะเจอ “บิ๊กป้อม” ให้มาเจอที่สภา ไม่ไปเจอที่บ้านป่ารอยต่อนั้น ตนคิดว่า นายปกรณ์วุฒิ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เนื่องจาก “พล.อ ประวิตร” บอกว่า ถ้า ส.ส.พรรคก้าวไกล คนไหนอยากมาเจอท่าน ก็มาเจอที่บ้าน ถ้านายปกรณ์วุฒิ ไม่ได้อยากเจอท่าน ก็ไม่ต้องไปแค่นั้นเอง แล้ว พล.อ ประวิตร ก็ไม่มีเหตุผลต้องมาเจอนายปกรณ์วุฒิ ซึ่งไม่รู้หน้าที่ตัวเอง อย่างเรื่องห้องหลังบัลลังก์ก็ไม่รู้ว่าเป็นห้อง พล.อ ประวิตร หรือเปล่า คุณก็พูดเองในบทสัมภาษณ์ว่า ก็ไม่รู้ว่าเป็นห้อง พล.อ ประวิตร หรือเปล่า แล้ววันนี้เองระเบียบการใช้ห้องนั้น เพิ่งออกมา ฉะนั้นการใช้ห้องก่อนหน้านี้ ก็ไม่ผิด เพราะไม่มีระเบียบรองรับ
วันนี้นายปกรณ์วุฒิมีหน้าที่เป็นถึงประธานวิปฝ่ายค้าน กลับไม่เลือกที่จะตรวจสอบรัฐบาล แต่กลับมาเอาเรื่องหยุมหยิม มาทำให้คนเข้าใจ พล.อ.ประวิตร ผิด ตนคิดว่ามันไม่ถูกต้อง และเรื่องนี้ เป็นเรื่องทีต้องออกมาพูด ไม่เช่นนั้นคนจะเข้าใจผิด เพราะว่าห้องหลังบัลลังก์ไม่ได้มีแปะป้ายว่าห้อง พล.อ ประวิตร แต่อย่างใด แล้วในคำสัมภาษณ์นายปกรณ์วุฒิก็ตอบเองว่า ไม่เคยเห็น พล.อ ประวิตร มานั่งห้องนี้ ฉะนั้นข้อเท็จจริงเนี่ย ยังไม่ได้แสวงหาเลย แต่กลับเอามาพูด โจ๋งครึ่มกันแบบนี้ ตนคิดว่าไม่เป็นธรรมกับ พล.อ ประวิตร และที่สำคัญที่สุดคือ การที่นักข่าวไปสัมภาษณ์ไม่ได้ระบุเจาะจงเลยว่า เป็นนายปกรณ์วุฒิ นักข่าวก็บอกว่าก้าวไกลฉะนั้นท่านก็บอกว่าเป็นก้าวไกล ใครไม่รู้เนี่ย อยากเจอท่านก็ไปกินข้าวที่บ้าน ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรม แล้วตนขอฝากบอก นายปกรณ์วุฒิ มีหน้าที่อะไรหัดทำหน้าที่ตัวให้ดีที่สุดด้วยไม่ใช่หัดทำตัวเป็นเด็กอนุบาลแบบนี้
ขณะนี้อยากเตือนพรรคก้าวไกลว่า ประชาชนทั้งประเทศ เขาก็ถามมาว่านายปกรณ์วุฒิ เป็นถึงประธานวิปฝ่ายค้าน แทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลกลับไม่ตรวจสอบ กลับมาบอกว่ารัฐบาลยังไม่ใช้งบประมาณ จึงไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ นายปกรณ์วุฒิ ยิ่งกว่าเด็กอนุบาล คำว่าเด็กอนุบาลหมายความว่า “พฤติกรรมการที่มาฟ้องครูว่า เพื่อนคนนี้กินขนม เพื่อนคนนี้แกล้งเพื่อน เพื่อนคนนี้คุยในห้อง ” พูดง่ายๆว่า ส.ส. ทุกคนเท่ากันหมดในสภา วันนี้นายปกรณ์วุฒิก็พยายามจะฟ้องประธาน ว่า มีคนเขาว่าอย่างนู่น อย่างนีั มีคนเขาใช้ห้องอย่างนู่น อย่างนี้ เรื่องขี้เล็บแบบนี้กลับนำมาเป็นสาระ แต่เรื่องปากท้องประชาชน กลับไม่ทำ กลับออกมาแบไต๋บอกว่า อภิปรายไม่ไว้วางใจคงยื่นไม่ได้ เพราะรัฐบาลยังไม่ใช้งบประมาณ
นายสามารถ ได้งัดการอภิปรายรัฐบาลในอดีตสั่งสอนพรรคก้าวไกล ว่าประเทศไทยไม่ใช่บริษัท การใช้อำนาจอย่างที่ผมพูด มาตรา 157 การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้พูดถึงงบประมาณไม่ได้พูดถึงเงิน การใช้อำนาจหน้าที่ไม่ชอบก็เป็นเรื่องของการทุจริต อดีตสมัยนายกบรรหาร ศิลปอาชา ท่านไม่ได้โดนเรื่องทุจริตครับ ท่านโดนเรื่องสัญชาติ อภิปรายเรื่องสัญชาติท่าน นี่เกี่ยวกับการใช้งบหรอครับ ย้อนกลับไปสมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ตอนฝ่ายค้านอภิปรายคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เรื่อง ส.ป.ก. นี่เป็นเรื่องของการใช้งบหรอก็ไม่ใช่ ในอดีตเวลาซักฟอก หรือ อภิปรายรัฐบาล ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวการใช้งบประมาณ ดังนั้น พรรคก้าวไกลต้องเข้าใจก่อน เวลาจะโกหกประชาชน หรือจะหลอกประชาชน ควรที่จะนำความจริงมาพูด
หรือแม้แต่ “ส.ว.” นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมากระทุ้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหน้าที่แต่กลับไม่ทำงาน โดยย้ำว่า พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา92 “เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น.(1)กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่3/2567 ที่วินิจฉัยว่า นายพิธาและพรรคก้าวไกล ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา49วรรคหนึ่ง คือหลักฐานที่กกต.ควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองกระทำการตามที่ศาลวินิฉัยแล้ว รัฐธรรมนูญ มาตรา211 คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลองค์กรอิสระและหน่วยงานรัฐ จึงไม่มีเหตุอื่นที่ให้ “กกต.” ต้องใช้เวลาไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานอื่นใดอีก “กกต.” มีหน้าที่ต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคเท่านั้นฝากย้ำอีกครั้งด้วยความหวังดี