คณะกรรมการการเลือกตั้งกลางแห่งรัสเซีย (หรือ CEC) รายงานว่า มากกว่า 74 เปอร์เซ็นต์ ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 112.3 ล้านคนของรัสเซีย ได้ร่วมทำการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของรัสเซียยุคใหม่ แซงหน้าการลงคะแนนเสียงระดับประเทศครั้งก่อนในปี 2018 โดยการลงคะแนนเสียงครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน คือระหว่างวันที่ 15 ถึง 17 มีนาคม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัสเซียจัดการแบบนี้ และสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีการนำระบบออนไลน์มาใช้ด้วย
อย่างไรก็ดี ในช่วงการเลือกตั้ง ได้มีความพยายามขัดขวางการทำงานของหน่วยเลือกตั้งเป็นระยะๆ โดยสื่อรัสเซียรายงานว่า มีการขัดขวางเกิดขึ้นประมาณ 30 ครั้ง ในจำนวนนี้ มีผู้ประท้วงพยายามที่จะจุดไฟเผากล่องลงคะแนน หรือเทของเหลวลงไปในกล่อง เพื่อทำลายบัตรคะแนนในกล่อง ซึ่งจากข้อมูลของ CEC พบว่า มีบัตรลงคะแนนทั้งหมด 214 ใบ ได้รับความเสียหายจากการกระทำเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังมีการโจมตีด้วยการแฮ็กระบบลงคะแนนออนไลน์มากกว่า 280 ครั้งด้วย แต่การโจมตีทั้งหมดได้ถูกสกัดไว้ได้
และล่าสุด เดอะเทเลกราฟ สื่อแห่งสหราชอาณาจักร รายงานโดยอ้างถึงข้อมูลของกลุ่มสิทธิมนุษยชนว่า ขบวนการประท้วงซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนอเล็กเซ นาวัลนี ได้ทำการสนับสนุนให้ประชาชน ออกมาลงคะแนนเสียงพร้อมกันในเวลา 12.00 นาฬิกา ของวันสุดท้ายในการเลือกตั้ง และทำลายบัตรลงคะแนนของพวกเขา โดยเรียกการประท้วงนี้ว่า “เที่ยงวันต่อต้านปูติน” ซึ่งการเชิญชวนนี้ เกิดขึ้นใน 17 เมืองทั่วรัสเซีย จนทำให้มีผู้ถูกควบคุมตัวมากกว่า 74 คน
ทั้งนี้ ในการนับคะแนนนั้น เมื่อการนับคะแนนผ่านไปเพียงเกือบ 1 ใน 4 ก็พบว่า คะแนนของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ขึ้นนำไปถึง 87.9 เปอร์เซ็นต์ โดยจากการประมวลผลในหลายภูมิภาคที่ได้นับคะแนนเสร็จสิ้นแล้ว โดยเฉพาะในภูมิภาคใหม่อย่างภูมิภาคดอนบาสพบว่า ปูตินได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 94 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ทำให้ทาง CEC คาดว่า ปูตินจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วยคะแนนเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
ปูติน วัย 71 ปี ครองอำนาจมามากกว่า 2 ทศวรรษ มีโอกาสอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้อีก 6 ปี และสำหรับการเลือกตั้งครั้งปัจจุบันนี้ ถือเป็นครั้งที่ 5 สำหรับปูตินแล้ว และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเขา เพราะตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำมาใช้ในปี 2020 ในกรณีที่ปูตินได้รับชัยชนะในปีนี้ ปูตินจะสามารถลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2030 ด้วย