เรื่องราวนี้บอกอะไรกับเรา
โน้สรู้จักคำว่า “วิกฤตคือโอกาส” หรือไม่
ถ้าไม่มีวันนั้น นิสา ศรีคำดี ยังอาจเป็นนักออกแบบอีเวนต์โนเนม ไส้แห้งบ้าง ไม่แห้งบ้างต่อไป แต่เพราะวิกฤตจึงเป็นโอกาสในน้องมดค้นพบตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง
ซึ่งจะมีคนแบบนี้สักกี่คนในสังคม คนที่ค้นพบตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง โน้ส อุดม ก็เป็นหนึ่งในนั้น
โน้สพูดว่า “บอกวาดการ์ตูนโตไปจะทำอะไร ศิลปินไส้แห้ง ไส้แห้งอะไรมึง Crybaby มึงรู้จักป่าว 2 วันแรกซัดไป 100 กว่าล้าน”
คำว่า “ไส้แห้งอะไรมึง“ ฟังดูเหมือนศิลปินทุกคนในยุคปัจจุบันหรือยุคของโน้สไม่ไส้แห้งแล้ว แต่ความจริงแล้วมึงก็คือคนหนึ่งที่ไส้แห้งไม่ใช่หรือ”
ย้อนกลับไปดูประวัติตัวเองที่เคยมีอาชีพเป็นศิลปินนักวาดรูปของโน้สหน่อยมั้ยว่าไส้แห้งหรือวาดรูปแล้วซัดไป 100 ล้าน
“โน้สเรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี และได้หนีออกจากบ้านมาอยู่กับญาติที่เปิดร้านขายผลไม้ โน้สเคยเรียนศิลปะที่ วิทยาลัยเพาะช่าง แต่เรียนได้ถึง 2 ปีต้องออกจากการศึกษาเพราะไม่มีเงินเรียนต่อ โน้สเริ่มงานแรกโดยการเป็นนักเขียนการ์ตูนที่นิตยสารชัยพฤกษ์การ์ตูน ของไทยวัฒนาพานิช โดยใช้นามปากกาว่า ‘Note Namun’ (โน้ต หน้ามึน) ได้ค่าวาด 150 บาทต่อการ์ตูน 2 ช่อง
และเมื่อได้อ่านนิตยสาร ไปยาลใหญ่ ฉบับแรกบนแผงเขารู้สึกถูกใจในบุคลิกของหนังสือ และอยากร่วมงานด้วย จึงเข้าไปสมัครเป็นพนักงานฝ่ายศิลป์ของนิตยสารไปยาลใหญ่ ทำหน้าที่ออกแบบจัดทำภาพปกและภาพประกอบต่าง ๆ ในไปยาลใหญ่
ไม่เห็นพบประวัติ ซัดไป 100 ล้านจากการเป็นศิลปินนักวาดการตูนของโน้สเลยนะ มึงก็คือหนึ่งในนักวาดรูปส่วนใหญ่ที่ไส้แห้งเหมือนกันนี่หว่าไอ้โน้ส
เพราะนักวาดรูปที่ซัดไปร้อยล้านพันล้านนั้นมีอยู่จริง แต่มีไม่กี่คนหรอก ไม่ว่าจะรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็ตาม อย่าเหมาว่าคนรุ่นเก่าพูดผิดด้วยการยกคนที่ประสบความสำเร็จเพียงหยิบมือมาดูถูกความคิดหรือคำเตือนลูกหลานของพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เตือนลูกหลานด้วยความห่วงใย และด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ความเป็นห่วงเป็นใยของพ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่นั้น เราซึ่งเป็นเด็ก สามารถพิสูจน์ตัวเองให้ท่านยอมรับได้ ด้วยการทำความฝันของเราให้เป็นจริง ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ถ้ามี passion ความหลงใหลในอาชีพการงานที่เราทำจริงๆ
เหมือน passion ที่ทำให้โน้สประสบความสำเร็จในชีวิตก็คือ งานแสดง ไม่ใช่นักวาดรูปอย่างที่เรียนมา ซึ่งโน้สอาจเคยโดนแม่ของตัวเองหรือผู้หลักผู้ใหญ่คนอื่นปรามาสมาว่า เรียนศิลปะจะกลายเป็นศิลปินไส้แห้ง ซึ่งเขาปรามาสไว้ถูกต้องเลย เพราะถ้าไม่ถูกต้อง ป่านนี้ โน้สคงเป็นนักวาดรูปที่วาดรูปแล้วซัดไป 100 ล้าน
โน้สพูดว่า “คนรุ่นเก่ามึงเงียบไปเลย เพราะอะไรที่มึงไปห้ามเขาไว้เขาเอาไปทำแล้วเจริญรุ่งเรืองหมดเลยบอกมึงอย่าไปเต้นกินรำกิน มึงดูลิซ่าดิ”
ไม่ต้องไปดูถึงเกาหลีหรอก ดูที่ตัวมึงนั่นแหละไอ้โน้ส มึงก็เต้นกินรำกินจนประสบความสำเร็จมากี่สิบปีแล้ว
ไอ้คำว่า “เต้นกินรำกิน” มันคือคำพูดของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่มึงเมื่อปีมะโว้นู้น ยุคมึงยุคกูนะ พวกเต้นกินรำกิน ตามคำพูดของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเรามันหมดไปก่อนเราจะโตแล้ว มึงก็เติบโตมาในยุคที่ คนเต้นกินรำกิน ร่ำรวยซัดไปร้อยล้านกันเป็นแถวแล้ว นี่มึงมีอาชีพเต้นกินรำกินจนประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างมาหลายสิบปี มึงจะไปขุดคติเก่าๆ ล้าสมัยมาทำสร้างวาทกรรมเพื่อหากินอยู่อีกเหรอ
ฟังแล้วคิดว่า เป็นเทปการแสดงสดเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว
โหนเด็กหาแดกไปวันๆ นะมึง
มาคิดดูอีกหรือที หรือคำพูดของโน้สที่ว่า “คนรุ่นเก่ามึงเงียบไปเลย เพราะอะไรที่มึงไปห้ามเขาไว้เขาเอาไปทำแล้วเจริญรุ่งเรืองหมดเลย” เป็นคำพูดที่แม่ของโน้สเคยด่า เคยปรามาสโน้สเอาไว้ แล้วโน้สยังเก็บความแค้นนี้ไว้ในใจ จนเอามาออกระบายบนเวทีการแสดงของตัวเอง
หรือจริงๆ ในใจพูดว่า “แม่…มึงเงียบไปเลย เพราะอะไรที่มึงไปห้ามเขาไว้เขาเอาไปทำแล้วเจริญรุ่งเรืองหมดเลย”
“ แม่… สิ่งที่มึงทำได้อย่างเดียว คือ มึงช่วยทำตัวน่ารัก ให้เด็กอย่างกู ยังไหว้อยู่ก็พอ“
หากินด้วยการบูลลี่คนอื่นอย่างสนุกปากมาตลอดชีวิตเลยนะมึง ถ้าโดนคนอื่นมาบูลลี่มึงมั้งแบบนี้บ้าง มึงจะหัวเราะออกบ้างมั้ย
(ต้องใช้ภาษาเดียวกับมึง ไม่งั้นพวกมึงอาจไม่เข้าใจ)
กูเอง เด็กที่เดินผ่านเพาะช่างประจำแต่ไม่ยักจะเคยเจอมึง