สำนักข่าว RIA ของทางการรัสเซีย รายงานว่า นายลาฟรอฟ ได้กล่าวเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการของรัฐสภา เพื่อพิจารณาแต่งตั้งเขา กลับมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเสนอ โดยลาฟรอฟ ซึ่งนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย มานานถึง 20 ปี กล่าวว่า เป็นสิทธิของตะวันตกที่หากต้องการสะสางความขัดแย้งในยูเครนในสนามรบ รัสเซียก็พร้อมไปที่สนามรบ
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงการเจรจาสันติภาพยูเครน ที่จะจัดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ในเดือนหน้า โดยที่ไม่ให้รัสเซียเข้าร่วมว่า เท่ากับเป็นการยื่นคำขาดให้กับรัสเซีย และเปรียบเทียบพฤติกรรมเช่นนี้ว่า เหมือนกับครูตำหนินักเรียน ตอนที่เด็กไม่ได้อยู่ในห้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ยืนยันว่ารัสเซียพร้อมเจรจาสันติภาพ ที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องควบคู่กับการกระทำด้วย
วิวาทะระหว่างรัสเซียกับนาโต้ ที่พูดถึงความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้าโดยตรง ร้อนแรงขึ้นนับตั้งแต่ ประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครงของฝรั่งเศส ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะส่งทหารนาโตเข้าไปในยูเครน ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีปูติน ถึงกับออกปากว่า ถ้าทำจริง ก็อาจจะนำมาซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งยังระบุด้วยว่า อาวุธตะวันตกที่ยูเครนนำมาใช้โจมตีข้ามชายแดน จะถือเป็นเป้าหมายชอบธรรม ต่อให้อยู่ในประเทศที่สามก็ตาม
ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายส่อจะเพิ่มขึ้นอีก เมื่อ อูล์ฟ คริสเตอร์ส-สัน นายกรัฐมนตรีสวีเดน ออกมาบอกว่า เขาเปิดกว้างสำหรับการใช้แผ่นดินสวีเดน เป็นที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ใน “ยามสงคราม”
สวีเดน ตัดสินใจละทิ้งนโยบายวางตัวเป็นกลางที่ยึดถือมานาน 2 ศตวรรษ หลังจากรัสเซียบุกยูเครน และเข้าเป็นสมาชิกนาโต้เมื่อเดือนมีนาคม และในเดือนหน้านี้ รัฐสภาสวีเดนจะลงมติว่าด้วยข้อตกลงความร่วมมือทางทหาร หรือ DCA กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะอนุญาตให้สหรัฐใช้ฐานทัพ และเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ในประเทศได้
แต่สมาคมสันติภาพและอนุญาโตตุลาการสวีเดน และอีกหลายองค์กร กำลังรณรงค์ให้รัฐบาล เพิ่มเนื้อหาในข้อตกลง DCA ว่า สวีเดนจะไม่อนุญาตให้อาวุธนิวเคลียร์สหรัฐเข้ามาไว้ในประเทศ และรัฐบาลก็เคยตอบกลับว่า ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะรัฐสภามีมติห้ามอาวุธนิวเคลียร์ในสวีเดนในยามสงบอยู่แล้ว ล่าสุด นายกรัฐมนตรี คริสเตอร์ส-สัน บอกเพิ่มเติมว่า การให้ประจำการอาวุธนิวเคลียร์ในยามสงครามนั้น เป็นอีกเรื่อง และจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นสำคัญ แต่ย้ำว่า สวีเดนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจไม่ใช่สหรัฐ