อังกฤษเผยรายงานฉาว ผู้ป่วยเสียชีวิตหลายพันคน นานหลายสิบปีจากการได้รับการรักษา ด้วยเลือดติดเชื้อที่ถูกปกปิดไว้ นายกฯโร่ขอโทษ
รายงานการสอบสวนเลือดติดเชื้อ ( Infected Blood Inquiry) ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ระบุว่า ในอังกฤษ มีประชาชนมากกว่า 3 หมื่นรายติดเชื้อไวรัส เช่น เอชไอวี และโรคตับอักเสบ หลังจากได้รับเลือด ที่ปนเปื้อนระหว่างช่วงปี 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1990
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ ผู้ป่วยผู้ที่ต้องได้รับการการถ่ายเลือด เนื่องจากอุบัติเหตุ และในการผ่าตัด และผู้ที่ทุกข์ทรมานจากความผิดปกติของเลือด เช่น โรคฮีโมฟีเลียหรือโรคเลือดออกผิดปกติ ซึ่งต้องได้รับการรักษาด้วยพลาสมา จากเลือดที่ได้รับการบริจาค ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 3 พันคน และอีกจำนวนมากที่ยังเหลืออยู่มีปัญหาสุขภาพตลอดชีวิต ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นภัยพิบัติด้านการสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์รอบ 80 ปีของระบบบริการสุขภาพแห่งชาติอังกฤษหรือ NHS
รายงานที่รอคอยมานาน ซึ่งมีมากกว่า 2 พัน500 หน้า ได้เผยถึงความล้มเหลวพร้อมผลอันหายนะต่อเหยื่อและผู้เป็นที่รัก ซึ่งในบางกรณี เด็กที่ได้รับเลือดและเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ ถูกส่งเป็นตัวอย่างสำหรับการวิจัย รวมถึงคนไข้หลายรายติดเชื้อและเสียชีวิตจากเอชไอวีและโรคตับอักเสบ
ไบรอัน แลงสตาฟ ผู้นำการสอบสวนระบุในรายงานว่า ทีมของเขาพบว่า รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชุดต่อๆ มาล้มเหลวในการลดความเสี่ยง แม้ว่าต้นทศวรรษ 1980 จะทราบแน่ชัดแล้วว่า โรคเอดส์อาจติดต่อทางเลือดได้ โดยผู้บริจาคโลหิต ไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสม และมีการใช้ผลิตภัณฑ์เลือดนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงจากสหรัฐ ที่ผู้ใช้ยาและนักโทษ ถูกนำมาใช้ในการบริจาค อีกทั้ง มีการถ่ายเลือดมากเกินความจำเป็นในบางกรณี
มีความพยายามที่จะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ รวมถึงหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ในกรมอนามัยทำลายเอกสารในปี 2536 ซึ่งถือเป็นการปกปิดของ NHS และรัฐบาลอย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนี้ แลงสตาฟยังแนะนำให้ ผู้ป่วยยื่นรับค่าชดเชยทันที ซึ่งคาดว่า รัฐบาลจะประกาศงบมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านปอนด์
ส่วน นายกรัฐมนตรี ริชี ซูแน็ก ได้ออกมาแสดงความเสียใจในรัฐสภาเมื่อวานนี้ เขากล่าวว่า นี่เป็นวันแห่งความอับอายสำหรับประเทศ พร้อมยอมรับความล้มเหลวของการทำงานของสถาบันต่างๆ และกล่าวขอโทษอย่างสุดหัวใจต่อความไม่ยุติธรรมอันเลวร้ายนี้ พร้อมสัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ