รัสเซีย ถล่มยูเครนครั้งใหญ่ ครบรอบ 1,000 วันของสงคราม
รัสเซียถล่มยูเครนครั้งใหญ่ ทั้งเมืองซูมีและโอเดสซา หลังสหรัฐฯเพิ่งไฟเขียวให้ยูเครน ใช้อาวุธพิสัยไกลยิงเข้ารัสเซีย และครบรอบ 1,000 วันของสงคราม ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้ ไฟเขียวของไบเดน เป็นเรื่องทางการเมืองในสหรัฐฯ
สำนักอัยการประจำภูมิภาคของยูเครนรายงานว่า ที่เมืองซูมี รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธนำวิถีติดคลัสเตอร์ โจมตีพื้นที่อยู่อาศัยของเมือง มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และบาดเจ็บ 84 ราย การโจมตีครั้งนี้สร้างความเสียหายแก่อาคาร 15 หลัง โดยเป็นสถานศึกษา 2 แห่ง ทั้งนี้ เมืองซูมีอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียอยู่ 40 กิโลเมตร นอกจากนี้ โอเลห์ คิเปอร์ ผู้ว่าการท้องถิ่นของเมืองโอเดสซา ก็ได้โพสต์ผ่านแพลตฟอร์มเทเลแกรมว่า รัสเซียทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธเข้าที่ท่าเรือโอเดสซา ในทะเลดำของยูเครน มีผู้เสียชีวิต 10 รายและบาดเจ็บ 44 ราย
ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ก็ได้โพสต์ลงเทเลแกรมเช่นกันว่า ขีปนาวุธพิสัยไกลของรัสเซีย ได้โจมตีทั้งย่านที่อยู่อาศัย และอาคารอพาร์ทเมนท์ อาคารมหาวิทยาลัย และอาคารบริหารได้รับความเสียหาย โดยนี่เป็นการโจมตีแบบตั้งใจโชว์ฝีมือของรัสเซีย และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า รัสเซียสนใจแค่การทำสงครามเท่านั้น ทั้งนี้ การโจมตีทั้ง 2 เมืองโดยรัสเซียครั้งนี้ เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่สหรัฐฯ ไฟเขียวให้ยูเครน ใช้อาวุธสหรัฐฯ ถล่มลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียได้ และยังเป็นช่วงจะครบรอง 1,000 วันของสงคราม ในอีก 1 วันด้วย
ขณะเดียวกัน อเล็กซานเดอร์ โคโรเลฟ อาจารย์อาวุโสด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย ได้แสดงความเห็นกับทางสำนักข่าว CNA ของสิงคโปร์ เกี่ยวกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ที่ไฟเขียวการใช้อาวุธสหรัฐฯให้กับยูเครน หลังจากที่ยูเครนพยายามขอให้ทำเช่นนั้นมาเกือบปี โดยโคโรเรฟมองว่า แรงจูงใจหลักเบื้องหลังการเปลี่ยนใจของไบเดนคือ การทำให้ชีวิตของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
โคโรเรฟระบุต่อว่า การตัดสินใจของไบเดน จะทำให้ทรัมป์ตัดสินใจเด็ดขาดเกี่ยวกับยูเครนได้ยากขึ้น เพราะต้องทำไม่ให้ดูเหมือนว่า เขาเป็นผู้สนับสนุนรัสเซีย การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนวงจำกัดในการปฏิบัติการของทรัมป์ และแม้ว่าทรัมป์จะสามารถกลับคำตัดสินใจของไบเดนได้ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งในต้นปีหน้า แต่สิ่งนี้ก็จะเป็นภาพที่ดูไม่ดีของสหรัฐฯสำหรับพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป
อย่างไรก็ดี โคโรเลฟได้กล่าวต่อไปว่า ตนคิดว่าการใช้ ATACMS ซึ่งสามารถยิงเข้าไปได้ไกลถึง 300 กิโลเมตรนั้น เป็นการตัดสินใจทางการเมือง และเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์เป็นหลัก แต่จะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ในวิถีโดยรวมของสงคราม ขีปนาวุธเหล่านั้นจะไม่สามารถโจมตีศูนย์กลางทางการเมืองที่สำคัญใดๆ ได้ แต่น่าจะมุ่งเป้าไปที่ภูมิภาค และดินแดนอื่นๆ ที่ถูกรัสเซียยึดครอง ซึ่งตนมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองในทำเนียบขาว เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งนี้ นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลไบเดนก็ได้ย้ำซ้ำๆว่า สหรัฐฯจะใช้เวลาที่เหลือเพื่อทำให้แน่ใจว่า ยูเครนจะสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิผลในปีหน้า หรือหากต้องเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีความแข็งแกร่งที่จะเจรจาได้
และก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้เตือนว่า การใช้ ATACMS ภายในรัสเซีย จะหมายความว่า นาโตกำลังทำสงครามกับรัสเซีย ซึ่งเรื่องนี้ โคโรเลฟได้ระบุว่า ตนสงสัยมากว่า รัสเซียจะตอบโต้สหรัฐฯและพันธมิตรนาโตแบบโดยตรง และอันตรายของการเพิ่มระดับความรุนแรงนั้น จะเกิดขึ้นจริง และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้รัสเซีย ต้องดำเนินการที่แข็งแกร่งมากขึ้นกับยูเครน
#บก.ข่าวทีวี