ดิ้นฮึดสุดท้าย “ก้าวไกล”ก่อนวันชี้ชะตา
เอกสาร ศาลรธน. วันที่ 1 พ.ค.67 วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีการเผยแพร่เอกสารผลการประชุมคดีสำคัญ โดยเฉพาะคดีที่ กกต.ขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งในการยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจาก กกต.เชื่อว่าพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคก้าวไกลตาม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ม.92 วรรค(1)และ(2)
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงปรากฎตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูยที่ 3/2567 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ในกำหนด 10 ปี
ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องของพรรคก้าวไกล ที่ขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่สอง ออกไปอีก 30 วัน แต่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาออกไปอีก 15 วันเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.67 ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงในวันที่ 18 พ.ค.67
แหล่งข่าวระบุว่า ภายในวงประชุมมีการถกเครียด และติดปัญหาหลายอย่าง กระบวนการติดต่อขอสำนวนเอกสารจากหน่วยงานราชการของพรรคก้าวไกล เพื่อนำมาประกอบคำชี้แจงเป็นไปอย่างติดขัดล่าช้า พรรคจึงได้ขอศาลฯ ขยายเวลาส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่ 1 จำนวน 30 วัน แต่ศาลฯ อนุมัติให้ 15 วัน ครบกำหนดวันที่ 3 พฤษภาคม และล่าสุดวันนี้ศาลได้อนุมัติเพิ่มอีก 15 วัน ครบกำหนด 18 พ.ค.67
ดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง เป็นกลางการเมือง การที่นายพิธาและพรรคก้าวไกล เสนอแก้ไขมาตรา 112 เพื่อลดสถานะของสถาบันฯ เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้นโยบายพรรคโดยนำสถาบันฯ หวังผลคะแนนเสียง และประโยชน์ในการชนะเลือกตั้ง
มุ่งหมายให้สถาบันฯ อยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งกับประชาชน ทำให้สถาบันฯเป็นฝักใฝ่ ต่อสู้ แข่งขัน หรือรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตือน ไม่คำนึงหลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีหลักสำคัญว่า พระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมือง
ดังนั้นการเสนอแก้ไข มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรคหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ เป็นเหตุให้สถาบันฯ ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เป็นเหตุให้นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด ข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ฟังไม่ขึ้น
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 เลิกการกระทำ แสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ 49 และ พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74
ที่สุดก็ต้องจับตามดูว่า ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปี ซึ่งก็รวมถึง นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ต้องโดนตัดสิทธิไปด้วย เมื่อตำแหน่งว่างลง จะเป็นพื้นที่สำหรับนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่จะได้รับโอกาสในตำแหน่งรองประธานสภาแทนหรือไม่ และสส.พรรคก้าวไกลจะกลายเป็นผึ้งแตกรัง กระจัดกระจายไปอยู่ตามพรรคที่เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ แล้วสส.ของพรรคก้าวไกลเดิมจะคงเหลืออยู่เท่าใด นี่จึงเป็นประเด็นที่ต้องเกาะติดกันต่อไป