วันที่ 17 ก.ย. 2563 BTSC ยื่นฟ้องศาลปกครอง ขอคุ้มครองชั่วคราว ระงับการแก้ไขทีโออาร์ หรือ เงื่อนไขการประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
วันที่ 19 ก.ย. 2563 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับ การประะมูลรถไฟฟ้าสายส้ม ตามเกณฑ์ใหม่ที่แก้ไขโดย คณะกรรมการมาตรา 36 และ รฟม.
วันที่ 3 ก.พ. 2564 คณะกรรมการมาตรา 36 และะ รฟม. เลือกใช้วิธียกเลิกประกาศเชิญชวน และ ยกเลิกการประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
วันที่ 22 ก.พ. 2564 BTSC ยื่นฟ้อง คณะกรรมการมาตรา 36 และ ผู้บริหาร รฟม. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (16) กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 165
วันที่ 1 ก.ย. 2564 รฟม.และคณะกรรมการ มาตรา 36 เดินหน้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม รอบ 2 ภายใต้การเปลี่ยนเงื่อนไขการประมูลใหม่ เน้นการให้คะแนนด้านเทคนิคสูงขึ้น และ กำหนดประสบการณ์ผู้ยื่นข้อเสนอโครงการ ว่า จะต้องเคยเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับหน่วยงานรัฐที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย ภายในระยะเวลา 20 ปี ครบทั้ง 3 ประเภท
คือ งานออกแบบอุโมงค์ใต้ดินด้วยหัวเจาะ , งานออกแบบก่อสร้างสถานีใต้ดิน และ งานออกแบบ ก่อสร้างทางวิ่ง พร้อมรางที่ 3 แบบไม่ใช้หินโรยทาง ทำให้ BTSC รวมถึง กลุ่มพันธมิตร ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลโครงการได้ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์งานโยธา ครบทั้ง 3 ประเภท ตามเงื่อนไขประมูล
วันที่ 27 ก.ค. 2565 รฟม.สรุป ผู้ยื่นซื้อเอกสารประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 14 ราย แต่มีผู้ยื่นซองประกวดเพียง 2 กลุ่มบริษัท คือ
1.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เสนอผลประโยชน์สุทธิ (มูลค่าปัจจุบัน: NPV) เท่ากับ -78,287.95 ล้านบาท
2.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ร่วมกับบริษัทขนส่งอินช็อน (Incheon Transit Corporation) ผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินประเทศเกาหลีใต้ เสนอผลประโยชน์สุทธิ (มูลค่าปัจจุบัน: NPV) เท่ากับ -102,635.66 ล้านบาท
วันที่ 8 ก.ย. 2565 รฟม.ประกาศผลประมูล บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะประมูล เนื่องจาก ผ่านเกณฑ์ด้านคุณสมบัติและเสนอผลประโยชน์ให้แก่รัฐสุทธิ (NPV) -78,287.95 ล้านบาท โดยมาจากการหักลบระหว่างส่วนที่เอกชนจะตอบแทนให้รัฐ กับเงินที่เอกชนขอให้รัฐช่วยเหลือ
วันที่ 12 ก.ย. 2565 นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ประสานติดต่อ รฟม. ขอรับเอกสารการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ครั้งที่ 1 กลับคืน แต่ รฟม. เลือกว่าจ้างบริษัทเอกชน ส่งเอกสารจำนวน 4 กล่อง กลับคืนให้ BTSC
และจากการเปิดซองประกวดราคา ยืนยันว่า BTSC เป็นบริษัทเอกชนที่เสนอเงื่อนไขดีที่สุด โดยขอรับเงินสนับสนุนค่างานโยธา รวม 79,820.40 ล้านบาท และ มีการจ่ายเงินตอบแทนให้แก่ รฟม. รวม 70,144.98 ล้านบาท รวมยอดเงินขอสนับสนุนจากภาครัฐ เพียง 9,676 ล้านบาท
โดยกรณีดังกล่าว ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งทางราง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า กรณีของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 78,287.95 ล้านบาท หมายความว่า BEM เสนอผลตอบแทนให้ รฟม. น้อยกว่าเงินที่ขอรับสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. ทำให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM จำนวน 78,287.95 ล้านบาท
ขณะที่ BTSC เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม.ติดลบ 9,675.42 ล้านบาท หมายความว่า รฟม.จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BTSC จำนวน 9,675.42 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชนะการประมูลในการประมูลครั้งที่ 2 คือ BEM พบว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM มากกว่าให้แก่ BTSC ถึง 68,612.53 ล้านบาท ! (78,287.95-9,675.42)
อย่างไรก็ตามถึงแม้การเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ของ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC อาจไม่ประสบผลทั้งหมด แต่เห็นได้ชัดว่าขั้นตอนต่าง ๆ ล้วนเป็นไปตามสิทธิทางกฎหมายและความชอบธรรมที่พึงควร จากการได้รับผลกระทบในสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการ มาตรา 36 และ รฟม. เลือกจะรื้อ แก้ไข ทีโออาร์ การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตั้งแต่ 21 ส.ค. 2563 หรือ เกือบ 4 ปี ที่แล้ว จนกลายเป็นสิ่งสะท้อนได้ว่า โดยข้อเท็จจริงจุดเริ่มต้นความล่าช้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มาจากใครกันแน่?
ขณะเดียวกันต้องจับตาดูกันต่อไปว่า โครงการรถไฟฟ้าสีส้ม มูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท จะมีบทสรุปตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แสดงความมั่นใจว่า ภายหลังศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 จะพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น พิพากษายกฟ้องในคดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ฟ้องว่ารฟม.และคณะกรรมการมาตรา 36 กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีร่วมกันออกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลว. 24 พ.ค.2565 และออกเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน โดยเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติและหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชนให้แตกต่างจากหลักเกณฑ์เดิมตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดือน ก.ค. 2563 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
และทางกระทรวงคมนาคมจะได้เร่งตรวจร่างสัญญาฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระหว่างรฟม. และ BEM ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาลงนามร่างสัญญากับผู้ชนะการประมูลต่อไปในไม่ช้านี้
เนื่องจากปัจจุบัน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มยังมีคดีความติดค้่าง ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จากกรณี BTSC ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้องผู้ว่าการ รฟม.เป็นจำเลยที่ 1 และพวกรวม 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ม.36 ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172
ตลอดจน BTSC ยังได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดกรณีที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ)
โดยบริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วพบว่า ข้อกำหนดเงื่อนไขในสาระสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ มีเจตนากีดกันบริษัทฯ ไม่ให้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และยังเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใดอย่างชัดเจน อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542
ส่วนความผิดในการร้องทุกข์กล่าวโทษในครั้งนี้เป็นการกระทำที่เข้าลักษณะความผิด ตามประกาศ กำหนดรายละเอียดของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ของคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 ที่กำหนดให้คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาเพื่อเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีวงเงินหรือมูลค่าตั้งแต่สามสิบล้านบาทขึ้นไป เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และหากต้องส่งให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา ขอให้ร้องขอต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการตามมาตรา 28 วรรคท้าย ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย
ประเด็นสำคัญที่สุด คือ ความเห็นของ นางสุมาลี ลิมปโอวาท ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะตุลาการเสียงข้างน้อย กรณีศาลปกครองสูงสุด พิพากษายกฟ้องในคดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ฟ้องว่ารฟม.และคณะกรรมการมาตรา 36 กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่าด้วยการรื้อแก้ไข ทีโออาร์การประมูลโครงการรถไฟฟ้าสีส้ม ครั้งที่ 1 ว่า การดำเนินการของคณะกรรมการมาตรา 36 และ รฟม.เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ยึดมติครม.และความเห็นคณะกรรมการ PPP เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2562 ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า “ผู้ชนะการคัดเลือก จะต้องเป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่ขอรับเงินสนับสนุน รวมทั้งสองส่วนจากภาครัฐ เมื่อคิดเป็นค่าปัจจุบัน (NPV) ต่ำที่สุดจะเป็นผู้ชนะการคัดเลือก” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นการทำหน้าที่ของ Top News ในการนำเสนอข่าวสาร ข้อเท็จจริง อย่างเกาะติดมาโดยตลอดเกือบ 4 ปี จากกรณีที่เกิดขึ้นเท่านั้น