พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยชุดคณะทำงานในคดีเรือน้ำมันเถื่อน ที่หายไปจากท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ร่วมประชุมสรุปผลคดีดังกล่าว ซึ่งภายหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.ต.จริญเกียรติ เปิดเผยว่า วันนี้มติในที่ประชุมได้ข้อสรุปแล้วว่า มีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจน้ำ ทั้ง 3 นาย ส่วนคดีละเมิด หรือ เรียกร้องค่าเสียหายในคดีแพ่ง จะต้องรอให้การดำเนินการวินัยร้ายแรงเสร็จสิ้นก่อน
ส่วนการแจ้งข้อหา มาตรา 157 มติที่ประชุมได้ให้ตำรวจน้ำ เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับตำรวจชั้นประทวน 2 นาย ที่เฝ้าเรือของกลาง หลังพบความผิดบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เข้าเวรยาม ส่วนสารวัตรสถานี ไม่เข้าข่ายความผิด มาตรา 157 ซึ่งหลังจากถูกดำเนินคดีดังกล่าวแล้ว ต้องรอทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พิจารณาว่า จะให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่
สำหรับหลักฐานในการดำเนินคดีนั้น ทางคณะกรรมการได้นำโทรศัพท์ 9 เครื่อง ตั้งแต่ระดับผู้กำกับ ถึงชั้นประทวน ที่เข้าเวรยามก่อนและหลัง ไปตรวจสอบความเชื่อมโยงว่า มีส่วนรู้เห็นเรื่องเรือหายหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบประเด็นดังกล่าว เหลือเพียงแค่เครื่องของ “ผู้กำกับ” เนื่องจากยังดูไม่ได้ เพราะไฟล์ใหญ่ แต่ได้โหลดข้อมูลเอาไว้แล้ว รอเพียงทางกองบังคับการปราบปราม ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง โดยล่าสุดได้ตรวจสอบไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการเรียกรับส่วย
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการสั่งการระดับผู้บังคับบัญชา แต่ทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อย ต้องมารับกรรม หรือเป็นแพะ นั้น ยืนยันว่า ”กรรมเกิดจากการกระทำ ดังนั้นเราต้องดูที่พยานหลักฐาน ในเมื่อบกพร่อง ละเว้นการทำหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหาย ก็ต้องถูกดำเนินการตามข้อเท็จจริง ไม่มีใครไปกลั่นแกล้ง ถึงแม้จะเห็นใจ เพราะยังเด็กอยู่ แต่เมื่อรู้กฎหมายเหมือนกัน ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ปล่อยผ่าน”