ศาลปกครองสูงสุดสั่ง กทม. จ่ายค่าเสียหายคนพิการที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ กทม. คนละ 5,000 บาท กรณีที่ไม่ดำเนินการก่อสร้างลิฟต์สิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการในสถานีรถไฟฟ้า BTS โดยคดีนี้ นายธีรยุทธ สุคนธวิท กับพวกรวม 430 คน ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร หลังจากปี 2554 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีระหว่างนายสุภร ธรรมมงคลสวัสดิ์ กับพวกรวม 3 คน ฟ้อง กรุงเทพมหานคร กับพวกรวม 4คนให้ผู้ถูกฟ้องคดีจัดทำลิฟต์ที่สถานีขนส่งทั้ง 23 สถานีให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา แต่พบว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา
จึงถือว่าเป็นละเมิดต่อนายธีรยุทธและพวกทั้ง 430 ทำให้ได้รับความยากลำบากในการดำเนินชีวิตขาดประโยชน์ในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (รถไฟฟ้า BTS) และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประกอบภารกิจประจำวันโดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 1 พันบาทคิดเป็นค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 835,000 บาทต่อคน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายผู้ฟ้องคดีทั้ง 430 คนๆ ละ 835,000บาทและชดใช้ค่าเสียหายเชิงลงโทษให้แก่ผู้ฟ้องคดีในอัตราสี่เท่าของจำนวนเงินดังกล่าว รวมเป็นเงิน 3,340,000 ต่อคน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,436,200,000 พร้อมดอกเบี้ย
ซึ่งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ได้สั่งให้ กทม. ชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการที่สถานีขนส่งรถไฟฟ้า BTS ให้แก่ผู้ฟ้องคดีเฉพาะรายที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครอันเป็นท้องที่จังหวัดเดียวกับท้องที่ที่ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (รถไฟฟ้า BTS) ตั้งอยู่ เป็นเงินจำนวนรายละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าเสียหาย นับถัดจากวันฟ้องถึงวันที่ 10 เม.ย.64 และดอกเบี้ยตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.64 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ทั้งนี้ ให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา เนื่องจากเห็นว่า แม้ในการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.650/2557 ที่นายสุภรฟ้องนั้น กทม.จะประสบกับปัญหาและอุปสรรคหลายประการ และมีเหตุผลเพียงพอจะรับฟังได้ว่า บางสถานีและการก่อสร้างลิฟต์ในบางจุดมีข้อจำกัด รวมทั้งจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการให้ครบถ้วนตามคำพิพากษาดังกล่าว อีกทั้ง กทม. ได้พยายามปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเรื่อยมาก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาวันที่พ้นกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจนถึงปัจจุบันแล้ว ระยะเวลาได้ล่วงเลยมากว่า 5 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ล่าช้าเกินสมควร และความล่าช้าดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของ กทม. ซึ่งเป็นเรื่องที่ กทม. สามารถที่จะเร่งรัดให้เป็นไปโดยรวดเร็วขึ้นได้
ประกอบกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า การจัดให้มีอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ รวมทั้งสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการที่สถานีขนส่งและรถรางนั้นอยู่ในวิสัยที่ กทม.จะดำเนินการได้ อีกทั้งเป็นกรณีที่ กทม.พึงคาดหมายได้ว่า หากการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวย่อมส่งผลให้คนพิการรวมถึงผู้ฟ้องคดีหลายราย ยังคงต้องประสบกับอุปสรรคและไม่ได้รับความสะดวกตามสมควรในการใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ต่อไป กรณีจึงถือได้ว่า กทม. ปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดดังกล่าว