ภายหลังจาก แพทย์หญิง ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ประธานกมธ. การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบ สำนักข่าวท็อปนิวส์ จากกรณีที่ได้มีการแจกจ่ายยาช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด 19
วันนี้(17 ก.ย.64) ที่อาคารรัฐสภา แพทย์หญิง ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ เจ้าของสถานเสริมความงาม ได้เดินทางมายื่นเรื่องต่อประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความถูกต้องและความปลอดภัยในการจ่ายยาโดยไม่มีฉลากและไม่เปิดเผยชื่อยาของ Top News
แพทย์หญิงของขวัญ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ที่รุนแรง จึงทำให้มีกลุ่มอาสา ภาคเอกชน และสื่อมวลชนหลายกลุ่ม ทำหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเบื้องต้น โดยการจัดส่งยาเวชภัณฑ์ให้ผู้ป่วยตามบ้านที่รอการรักษา หนึ่งในนั้นคือโครงการที่ใช้ชื่อว่า “Top Care” ซึ่งอยู่ภายใต้องค์กรของสื่อ Top News
โดยยาที่จ่ายให้ผู้ป่วยนั้นไม่มีชื่อยา ทั้งชื่อสามัญ และชื่อการค้า โดยระบุเพียงวิธีรับประทาน และเมื่อได้สอบถามไปยังกลุ่มที่จ่ายยาดังกล่าว ก็ไม่ได้รับคำตอบว่าเป็นยาอะไร เพียงแต่ระบุว่าเป็น “ยาฆ่าเชื้อ” ซึ่งขัดต่อกฎหมายและผิดต่อเวชปฏิบัติทางการแพทย์อย่างชัดเจน จึงอยากจะให้คณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการตรวจสอบ
ขณะเดียวกันที่ท็อปนิวส์ นายแพทย์ชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ที่ปรึกษาโครงการยังมีเรา กล่าวว่า ส่วนอากาศในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤตมากที่ผู้ป่วยโรค โควิด-19 มีผู้ป่วยมากทุกโรงพยาบาล Top News จึงเข้ามาช่วย ในการรักษาผู้ป่วยโดยการหายามาให้ผู้ป่วยได้รับประทานเพื่อที่จะได้ลด อาการ ระดับสีเหลืองและสีแดงโดยยาจะช่วยตัดวงจร ให้ผู้ป่วยสีเขียวไม่กลายเป็นสีเหลืองและสีแดงและยังลดการแพร่เชื้อของโรคโควิต 19 อีกด้วย
และยังมีการโทรไปสอบถามอาการผู้ป่วยถึงที่บ้าน หากอาการหนักก็มีการประสานหาเตียง อยากให้คนไทยหลุดพ้นจากความทุกข์ยากโดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆเป็นการตอบแทน
ยืนยัน Top New ไม่เคยทิ้งผู้ป่วยมีการโทรไปสอบถามอาการผู้ป่วยที่ได้รับยาทุกคน ทุกวันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีความจำเป็นต้องโทษรัฐบาล ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้นโรงพยาบาลหรือระบบสาธารณสุขเริ่มรับมือไหว ก็หยุดการจ่ายยา สิ่งที่ท็อปนิวส์ทำ เป็นแค่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสนับสนุนรัฐบาลให้ฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ไม่เพียงแค่การให้ยา การช่วยหาเตียง ท็อปนิวส์ ยังมีการหาอาหาร หาข้าว ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยซึ่งถือว่าเป็นการกระจายเศรษฐกิจไปสู่รากหญ้า ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพราะเป็นเรื่องของมนุษยธรรมเป็นการให้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน คนไข้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอคนไหนเป็นคนช่วยเพราะเราคือทีมหมอนิรนาม แค่อยากให้รู้ว่ามีเจตนาอย่างไรและทำไปเพื่ออะไร ยืนยันว่าข้าศึกครั้งนี้หนักหนามากหนักกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมกัน ซึ่งสถานการณ์ที่ยากลำบากในประเทศครั้งนี้ ภาคประชาชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน
หมอชัยวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า คนเราต่างจิตต่างใจแต่ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้และเชื่อมั่นว่าการ ที่ทำครั้งนี้คือการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์
อย่างที่ท็อปนิวส์นำเงินไปบริจาคให้สภากาชาดไทยเพื่อไปผลิตยา เพราะสภากาชาดไทยรู้ว่ายามันขาดจริงๆ อยากให้รู้ว่าคนทุกคน เมื่อ ไม่มีหนทางจะต้องทำยังไง นี่คือสิ่งที่อยากให้สังคมได้รับรู้ว่า Top news ทำไปเพื่ออะไร
เราเป็นสื่อเราเป็นภาคประชาชนเราเป็นกลุ่มแพทย์นิรนามเราจะทำที่เราทำได้ ถ้าระบบสาธารณสุขปกติเดินหน้าต่อไปได้เราก็จะทำไปในส่วนที่เราทำได้ แต่ที่เราแจกยาเพราะระบบปกติมีปัญหาไม่สามารถแจกยาให้กับผู้ติดเชื้อได้ ตอนนี้ได้หยุดแล้วปล่อยให้ภาครัฐและระบบสาธารณสุขดูแลไป ท็อปนิวส์ก็ดูแลและช่วยเหลือในด้านอื่นๆเช่นการส่งมอบรถตรวจ ATK ทุกอย่างทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์และยินยอมยินดีให้ตรวจสอบ
ขณะที่คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด กล่าวเปิดใจถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ต้องขอบคุณหมอของขวัญที่ทำให้ท็อปนิวส์ได้มีโอกาสได้พูดถึงงานที่เราได้ทำร่วมกับประชาชนคนไทย โดยสถานการณ์โควิดที่วิกฤตในห้วงเวลาที่ผ่านมา ท็อปนิวส์ได้เป็นศูนย์กลางตัวเชื่อมโยงในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องที่เผชิญกับโควิด-19 มาโดยตลอด แต่อยู่ๆ จะออกมาพูดเองว่าทำอะไรไปบ้างก็ตะขิดตะขวงใจว่าทำไปแล้วมาเอาดีใส่ตัว เราเป็นสื่อ แน่นอนว่าทำธุรกิจคงเหมือนหมอของขวัญที่ทำธุรกิจความงาม แต่ธุรกิจของเราทำข่าวสารนำความจริงมาเสนอสังคม ไม่ได้แสวงหาความร่ำรวยอย่างเดียว
นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดคนไทยบริจาคให้ท็อปนิวส์ 28,797,251 บาท ส่วนเงินที่บริจาคนำมาทำอะไรบ้าง มีดังนี้ แรกเริ่มเดิมที เราได้เริ่มช่วยเป็นสื่อกลางในการประสานหาเตียงให้กับคนที่ติดเชื้อได้ถึง 1,204 เคส เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พบว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประชาชนย่ำแย่ จึงจัดโครงการไทยช่วยไทยหัวใจไม่ท้อ ปรากฎว่ามีร้านค้าเข้ามาร่วมกับเรา 620 ร้าน ขายสินค้าผ่านท็อปนิวส์ทุกวันได้เงินรวมกว่า 2 ล้านกว่าบาท ร้านที่ออกอากาศท็อปนิวส์มียอดขาย 1 – 2 หมื่นบาทรวมแล้ว 12 ล้านบาท ช่วยให้ร้านที่กำลังย่ำแย่ดีขึ้น เป็นพลังที่พวกเรามาช่วยกันทำ
สำหรับเงินบริจาค เราได้ทำข้าวกล่องส่งให้บุคลากรทางการแพทย์รวม 75,324 กล่อง ส่งให้โรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 169 แห่ง กระจายความช่วยเหลือ 285 ร้าน สำหรับนอกเหนือจากนั้น เราได้ทำถุงยังชีพส่งไปช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งสิ้น 4,388 ถุง
ทั้งนี้ สถานการณ์ก่อนวันที่ 22 ก.ค.64 จะเห็นได้ว่าสถานการณ์โควิดอยู่ในขั้นวิกฤต กราฟตัวเลขผู้ติดเชื้อกำลังวิ่งเป็นขาขึ้น มีผู้ป่วยสะสมมากขึ้น รวมทั้งจำนวนผู้ป่วยหนักก็เพิ่มสูงขึ้น ทางเราจึงมีการร่วมปรึกษาหารือกับ นพ.ชัยวัฒน์ เตชะไพฑูรย์ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เนื่องจากคนป่วยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นมาก และท็อปนิวส์ไม่สามารถประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยได้ทันแล้ว จึงมีการปรับแนวทางความช่วยเหลือ ให้ทางคณะแพทย์อาสาทุกวินิจฉัยเคสผู้ป่วยในเบื้องต้น และส่งยาให้กับประชาชนที่รักษาอาการอยู่ที่บ้าน รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,218 เคส ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ
ไม่เพียงเท่านั้น เงินที่พี่น้องได้บริจาคมา เราได้ไปใช้ในการสนับสนุนเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ดังนี้ เครื่องผลิตอ๊อกซิเจน 27 เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ 4 เครื่อง รถชีวนิรภัยจำนวน 1 คัน รวมทั้งมอบเงินให้กับสภากาชาดไทย 1 ล้านบาท เพื่อนำไปผลิตยาฟาวิพิราเวียร์อีกด้วย
ต้องขอบพระคุณผู้ชุมทุกท่านที่ช่วยบริจาคเพื่อเป็นพลังในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่สิ่งสำคัญคือความเป็นคนไทยคือในยามวิกฤตเราต้องช่วยกัน ไม่ใช่ว่าสถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว ไปโหมกระหน่ำให้มันเลวร้ายยิ่งขึ้น รัฐประกาศให้รักษาระยะห่าง กลับไปรวมตัวกันชุมนุม ไปส่งเสริมให้โรคภัยไข้เจ็บแพร่กระจาย แถมยังคิดจะมาขัดขวางหรือมีปัญหา เพราะท็อปนิวส์ได้รายงานข่าวตามข้อเท็จจริง ดังนั้นเชื่อว่าสังคมตัดสินได้ว่าระหว่างท็อปนิวส์กับหมอของขวัญใครทำประโยชน์ให้สังคมมากกว่าเรา