“น้องจรัญ” เด็กหนุ่มเชื้อสายกัมพูชา ร้อง “Top News” ช่วยเป็นสื่อกลาง ประสานหน่วยงาน อยากมีบัตรประจำตัวไทย-สัญชาติไทย

"น้องจรัญ" เด็กหนุ่มเชื้อสายกัมพูชา ร้อง "Top News" ช่วยเป็นสื่อกลาง ประสานหน่วยงาน อยากมีบัตรประจำตัวไทย-สัญชาติไทย

วันที่ 2 ส.ค.2567 ทีมข่าว Top News ได้รับเรื่องขอความช่วยเหลือจาก นายจรัญ เฮง หรือ “น้องจรัญ” อายุ 16 ปี สัญชาติกัมพูชา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งประสบปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวันในหลายกรณี รวมทั้งเรื่องขาดแคลนทุนการศึกษา เนื่องจากเป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กๆ คนอื่นได้จะไปสมัครงานงานพาร์ทไทม์ เพื่อหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัวก็ไม่สามารถทำไม่ได้

 

 

น้องจรัญ เล่าว่า พ่อแม่ของตนเป็นชาวกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน จนมีลูก 2 คน คือ ตนเองและน้องชายอายุ 11 ปี ซึ่งเกิดในประเทศไทย จึงมีใบสูติบัตรการแจ้งเกิดเพียงอย่างเดียว ที่เป็นเอกสารของราชการไทย โดยพ่อแม่มีอาชีพเป็นแม่บ้านอยู่ในบริษัทเดียวกัน เงินเดือนตกคนละประมาณ 1 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน

 

 

ทั้งนี้ เมื่อทำงานไปได้สักพักจึงได้ขอให้เจ้านายออกใบรับรองที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะได้ส่งตนเองเข้าเรียนหนังสือในสถานศึกษาได้ และเมื่อตนได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ก็ถูกเพื่อนบางคนล้อเลียนว่าเป็นคนต่างด้าว ไม่ใช่คนไทย แต่ก็ใช้ความอดทนและตั้งใจเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กจนโต โดยมีเกรดเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 3.5 ต่อเทอมมาโดยตลอด โดยจะมีความถนัดวิชาภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

จนเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปลาย ทางครอบครัวมีปัญหาเรื่องการเงิน ไม่พอจ่ายค่าเทอม , ค่าเช่าบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวัน ที่มีค่าใช้จ่ายตกเดือนละไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท จึงจำเป็นต้องหยุดเรียน ขณะกำลังขึ้นชั้นมัธยมตอนปลาย จึงคิดอยากจะหางานพาร์ทไทม์ทำ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะในการสมัครงานจำเป็นที่จะต้องมีบัตรประชาชน หรือการทำบัตรธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งน้องจรัญนั้นไม่มี และไม่สามารถขอได้ ทำได้เพียงแค่ไปทำงานเสริมกับพ่อแม่ซึ่งได้เงินวันละไม่กี่บาท จึงจำใจต้องหยุดเรียนและอยู่บ้านไปช่วงหนึ่ง แต่แล้วพ่อและแม่ก็ไปหากู้ยืมเงินมาจ่ายค่าเทอมให้จึงเรียนต่อชั้นม.4 ได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเรียนวิชานักศึกษาวิชาทหารได้ก็ตาม

 

 

น้องจรัญ บอกอีกว่า แม้จะได้กลับไปเรียนหนังสือ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด ในชีวิตประจำวันหากตนใส่ชุดไปรเวท หรือชุดอยู่บ้านเดินออกไปตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทักถามขอดูบัตรประชาชนอยู่เสมอ ทำได้แต่เพียงตอบเจ้าหน้าที่ไปตรงๆว่า เป็นคนต่างด้าว และให้ดูใบสูติบัตรที่ถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือให้เจ้าหน้าที่ดู ก่อนจะถูกตักเตือนแล้วปล่อยไป ทำให้ตนนั้นไม่กล้าที่จะออกไปทำธุระอื่นๆ หรือไปเที่ยวกับเพื่อนนอกบ้านได้ รู้สึกเหมือนถูกแบ่งชนชั้น และอับอายที่เพื่อนมองเป็นคนต่างด้าว มาอาศัยและเรียนหนังสืออยู่ในประเทศไทย หากเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้ใหญ่ใจดีส่งเสริมเรื่องทุนการศึกษา และเรื่องการขอบัตรประจำตัว เพื่อจะได้สานฝันในการศึกษา กระทั่งจบมหาลัยและช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของครอบครัว โดยในอนาคต ตนมีความฝันอยากจะเป็นตำรวจคอยช่วยเหลือประชาชน ให้เหมือนกับตัวเองที่อยากช่วยเหลือครอบครัวอยู่ในตอนนี้

 

ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับน้องจรัญ ซึ่งเรียกว่าเป็นปัญหาภาวะไร้สัญชาติ ค่อนข้างส่งผลกระทบกับเด็กในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในหลายๆอย่าง ทั้งการขาดโอกาส และมักถูกเลือกปฏิบัติในหลายๆ กรณี ทั้งความยากจน การเข้าไม่ถึงการศึกษา รวมไปถึงสิทธิการรักษาพยาบาล และความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เพียงแต่น้องจรัญที่กำลังประสบปัญหา แต่ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเผชิญปัญหาแบบเดียวกัน และยังรอคอยโอกาสจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเข้าให้ความช่วยเหลือเรื่องสิทธิขั้นและการศึกษาที่ควรได้รับ

 

ทีมข่าวได้ไปหาข้อมูล เกี่ยวกับ การรับนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย โดยดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ข้อ 6 การรับนักเรียน นักศึกษา ในกรณีที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้สถานศึกษาเรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับ เพื่อนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา ดังต่อไปนี้

1. สูติบัตร

2. กรณีไม่มีหลักฐาน ให้เรียกหนังสือรับรองการเกิด บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบัตรทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกัน

3. ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม ข้อ 1 และ 2 ให้เรียกหลักฐานที่ทางราชการออกให้ หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้ เช่น ทะเบียนประวัติของผู้ติดตาม ท.ร. 1/1 หนังสือรับรองการเกิด เพื่อจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะ ทางทะเบียนราษฎร เป็นต้น

4. ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม ข้อ 1, 2 และ 3 ให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชน ทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคล เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ชูศักดิ์" ชี้สัญญาณดี ศาลฯไม่รับคำร้องคดี "ทักษิณ-พท." ล้มล้างการปกครอง พร้อมแจงคดีครอบงำต่อกกต.
"ปานเทพ" ชี้ "ทนายตั้ม" ดิ้นยาก เปลี่ยนคดีฉ้อโกงเป็นแพ่ง ท้าแน่จริงรับสารภาพดีกว่า
"ทนายสายหยุด" จ่อถอนตัวทำคดี "ทนายตั้ม" ปมโกงเงิน "เจ๊อ้อย" ลั่นเหมือนถูกหลอก 
"สันติสุข" ขยี้ลึก "สื่อ-อินฟลูฯ" เคยออกข่าวเชียร์ "หมอบุญ" โจมตีวัคซีนยุคลุงตู่ อย่าแกล้งลืมปมฉาวอดีต
จีนทดลอง‘รถไฟเร็วสูง’ สายใหม่เชื่อมปากแม่น้ำแยงซี
จีนพบแหล่ง 'ทองคำ' ขนาดใหญ่ คาดปริมาณสำรองเกิน 1 พันตัน
โซเชียลชื่นชม "ผกก.สภ.ทุ่งสง" ช่วยเข็นรถ ผู้สูงอายุลงคะแนน เลือกตั้งนายกอบจ.เมืองคอน
ฝนถล่มหนัก "ผู้ประกอบการเรือโดยสาร" เกาะสมุย ประกาศย้าย "ท่าเทียบเรือ" หลังเจอคลื่นลมมรสุมหนัก
"คนขับรถ" หิ้วปิ่นโต รุดเยี่ยมอดีตภรรยา-ลูก "หมอบุญ" เชื่อไม่เอี่ยวโกงเงิน 7.5 พันล้าน
คืบหน้าไฟไหม้สลัมฟิลิปปินส์

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น