“ชัยธวัช” สุดกร้าว เปิดเวทีโจมตีศาลรธน.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยยุบพรรค ไม่เป็นธรรม “ก้าวไกล” ชูรื้อ แก้ 112 ไม่ได้ใช้ความรุนแรง เพื่อล้มล้างปกครอง
วันที่ 2 ส.ค. 67 นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.และในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงปิดคดียุบพรรค ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้
โดยนายชัยธวัช ได้ย้ำถึงรายละเอียดข้อต่อสู้ของพรรคพรรคไกลทั้ง 9 ข้อ โดยข้อต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดคือ การพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ พรรคก้าวไกลยืนยันศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองไว้อย่างชัดแจ้ง และไม่สามารถที่จะเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐานในคดียุบพรรคก้าวไกลได้ ขณะเดียวกันการยื่นคำร้องในคดีนี้ของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฏหมาย อีกทั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการวินิจฉัยคดีนี้ ประกอบกับคำร้องในคดีนี้ของ กกต.เป็นข้อหาล้มล้างการปกครอง จึงเป็นข้อหาใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ใหม่ นอกจากนี้ยืนยันกกต.ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมทั้งรับฟังผู้ถูกร้องอีกด้วย
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยืนยันอีกว่านอกจากการเสนอแก้ไข ม.112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคแล้ว การกระทำอื่นๆทั้งหมดที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นกรณี สส.ของพรรคเข้าชื่อเสนอแก้ไข ม.112 สส.บางคนไปปรากฏตัวในที่ชุมนุม สส.ไปเป็นนายประกันให้ผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดี ม. 112 และกรณีที่มีสมาชิกพรรคไปแสดงความเห็นให้ยกเลิก ม.112 ล้วนไม่ใช่การกระทำของพรรค และตามเอกสารพยานหลักฐานจากคำวินิจฉัยในคดีที่ 3/2567 ซึ่งถูกนำมาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ด้วย ไม่เคยไต่สวนพยานบุคคลที่ถูกอ้างอิงถึง และข้อเท็จจริงตามเอกสารไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าบุคคลต่างๆที่ได้กระทำการไปนั้น ทำไปโดยที่มีพรรคก้าวไกลเป็นผู้สั่งการหรือบงการ อีกทั้งความเห็นตามเอกสารของเจ้าหน้าที่รัฐที่จัดทำขึ้นภายหลังเหตุการณ์ ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าที่ศาลไม่อาจรับฟังได้