“แกนนำก้าวหน้า” ดักคอศาลรธน. นั่งทางในวิเคราะห์คำตัดสินคดียุบก้าวไกล 7 ส.ค.นี้ เตือนอย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ข่าวที่น่าสนใจ
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อนายชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ วิเคราะห์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ว่า พรรคก้าวไกลมีโอกาสรอดจากการถูกยุบพรรค จากเหตุผลทั้งบริบทการเมือง ข้อกฎหมาย และเรื่องของเวทีต่างประเทศ โดยเรื่องของเวทีต่างประเทศ ก็เพราะในเดือนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญของไทย จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมาคมศาลรัฐธรรมนูญ และสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย หรือ AACC ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 67 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีประธานศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่า จากประเทศสมาชิก 18-19 ประเทศ เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยคาดว่าจะมีมาร่วมงานประมาณเกือบ 400 คน
ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่รู้ว่าจะแบกหน้าไปคุยกับเขาได้อย่างไร เพราะการที่จะสั่งยุบพรรคการเมือง มันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ๆ นอกจากนี้ ปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังรณรงค์อย่างหนัก เพื่อสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHRC ในวาระปี ค.ศ.2025-2027 แค่เฉพาะคดี 112 ที่จะพบว่าเกือบทุกคดี จะไม่ให้ประกันตัว ยกเว้นแค่บางคดี เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แล้วยิ่งหากจะมายุบพรรคการเมือง ที่ชนะการเลือกตั้ง ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ถ้าแบบนี้ก็ปิดประตูตายได้เลย ไม่ต้องไปลุ้นให้เหนื่อย
แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวอีกว่า อีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะรอดในคดียุบพรรค ก็เพราะว่าหากก้าวไกลโดนยุบพรรค จะยิ่งแปรเป็นความคับแค้น ความเห็นใจ อย่างคนที่อยู่กลางๆ เอง เขาจะมีความเห็นใจ จนกลายเป็นคะแนนให้มาอย่างท่วมท้น ในการเลือกตั้งระดับต่างๆ เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ตามด้วย เทศบาล -อบต. -กรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา อีกทั้งหากศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้การเมืองไทยเหลือเพียงขั้วเดียว ซึ่งประสบการณ์ในอดีตก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แต่หากยังคงให้มีพรรคก้าวไกลอยู่ ก็ยังทำให้เกิดการถ่วงดุลกันได้ ทำให้จึงเชื่อว่า ฝ่ายผู้มีอำนาจทั้งหลาย ก็คงคิดเก็บพรรคก้าวไกลไว้ก่อน ดังนั้นตนเชื่อว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน ด้วยการจะไปยุบพรรคก้าวไกล ดังนั้นแนวโน้มความเชื่อของตน ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะยกคำร้อง เช่น อาจจะออกมาในแนวทางว่า กกต.ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการไต่สวนคำร้องตั้งแต่แรก
นายชำนาญ ยังเชื่อว่า ผลการลงมติของ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 7 สิงหาคมนี้ จะไม่ออกมาแบบเอกฉันท์ เหมือนตอนลงมติตัดสินคดีที่ 3/2567 โดยอาจจะออกมา 5 ต่อ 4 หรือ 6 ต่อ 3 ประมาณนี้
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความว่า กรณีการยื่นคำร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล ออกมาแถลงหลายครั้ง ทำนองว่าในปี 53 ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้อง ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามคำวินิจฉัยที่ 16/2553 โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การยื่นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการยื่นโดยผิดขั้นตอน ในการยื่นให้ยุบพรรคก้าวไกล ก็เช่นเดียวกัน พรรคก้าวไกลแถลงว่า คณะกรรมการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องโดยไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลทราบข้อเท็จจริง และแสดงพยานหลักฐานในชั้นกกต. ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องยกคำร้องเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐาน
ขอชี้แจงว่า ในอดีต ผมเคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหนึ่งในคณะทนายความที่ว่าความในคดีนั้น ให้พรรคประชาธิปัตย์ แม้ขณะนี้ ผมไม่ได้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์และไม่สังกัดพรรคการเมืองใดแล้ว แต่เห็นสมควรชี้แจง เพื่อมิให้พรรคประชาธิปัตย์ที่ผมเคยสังกัดเสียหาย หรือ ถูกระแวงสงสัย
ในปี 53 มีการใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ซึ่งบัญญัติว่า การยื่นคำร้องให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ต้องเริ่มจากนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นว่าควรยุบ จึงเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 95 กรณีของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายทะเบียนยังไม่ทำความเห็นว่าควรยุบ แต่นายทะเบียนกลับเสนอให้ กกต.พิจารณา จึงผิดขั้นตอน เปรียบเหมือน พนักงานสอบสวนยังไม่มีคำสั่งฟ้อง แต่ส่งสำนวนให้อัยการ จึงผิดขั้นตอน อัยการจะฟ้องคดีนั้นไม่ได้
ในครั้งนั้น คดีของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ซับซ้อนอะไร แต่เราก็สู้ทั้งประเด็นข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลเห็นว่า ผิดขั้นตอนตามกฎหมาย จึงต้องยกคำร้อง แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกล คนละประเด็นกับของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมไม่ขอกล่าว เพราะอยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาล ผมเพียงแต่กล่าวกับพรรคก้าวไกลว่า ที่ท่านกล่าวมานั้น มีเพียงวาทะกรรมหรูๆ ไปวันๆ ไม่มีหลักอะไรเลย ความจริงพรรคก้าวไกลมีนักกฎหมายเก่งๆ เยอะ แต่เมื่อเต็มไปด้วยอคติ จึงมืดบอด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง