อย่าเรียกว่าเดา หรือเกร็งโผ แต่บอกได้เลยว่างานนี้ฟันธง การันตี ไม่มีเกมพลิกเป็นหน้าอื่น เมื่อ พลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ หักพาล พ่ายแพ้ในเกมกฎหมาย อดเป็นแคนดิเดท ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามคาดหวัง แคนดิเดทคนที่เหลือก็น่าเชื่อได้อย่างเต็มหัวใจว่า ไม่มีใคร “เหมาะสมเพียบพร้อม” เท่า “บิ๊กต่าย” หรือ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะตั้งแต่นั่งเก้าอี้ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็แผ่บารมีรัศมีการทำงานอย่างมืออาชีพ ดำเนินการทุกอย่างด้วยความนิ่งและเรียบง่าย ไม่เคยออกมาแอคชั่นหวือหวา ทว่าทุกคดีสรุปปิดจบจ๊อบได้อย่างสวยงาม
“บิ๊กต่าย” ผู้นอบน้อม อัธยาศัยดี ท่าทีเป็นมิตร ให้ความใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ล่าสุดหลังจากได้มีโอกาสเข้ามาทำงานภายใต้ การบังคับบัญชา ของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัว ก็จัดได้ว่า ทำงานเข้าขา ถูกอกถูกใจ แถมไม่ว่านายกฯ จะเดินทางไปไหน เราก็จะเห็นเงาของ “บิ๊กต่าย” ตามติดไปกับตัวมากกว่า พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ซึ่งเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตัวจริงเสียอีก!!
ศึกสงคราม ระหว่าง “บิ๊กต่อ – บิ๊กโจ๊ก” ส่งผลให้สะเก็ดระเบิดกระเด็นมาโดน “บิ๊กต่าย” ตูมใหญ่ ทั้งที่เมื่อย้อนไปดูความสัมพันธ์ของ บิ๊กต่าย กับ บิ๊กโจ๊ก ก่อนหน้านี้ เป็นอะไรที่ “แน่นปึ๊ก” ไม่เคยกระทบกระทั่งกันมาก่อน จนเมื่อต้องมานั่งเก้าอี้ “รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แล้วใช้อำนาจในมือ ฟัน “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน นี่คือชนวนเหตุเดียวที่ทำให้ภาพของทั้งคู่ ดูบาดหมางกัน จนบานปลายกลายเป็น
”ศึกสายเลือดสีกากี” …. และถึงแม้ “บิ๊กต่าย” จะออกมาอธิบายอย่างชัดเจนว่า ทุกคำสั่งที่เซ็นไป ยึดตามตัวบทกฎหมาย ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งอย่างที่ใครเขาครหา แต่ทว่า จะให้คนที่เป็นเป้าโดนผลกระทบโดยตรงอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” อยู่นิ่งเฉยคงไม่ได้ การรีแอคชั่นตอบกลับมาของบิ๊กโจ๊ก จึงเป็นสิ่งที่ “บิ๊กต่าย” ต้องทรงตัวตั้งรับให้ดีที่สุด