“อรรถวิชช์” แจงปม “เอกนัฏ” ยันคุณสมบัติไม่ขัดรมต. เคลียร์ชัดเป็นพยานคดี “ทักษิณ” ผิด 112 ตามหมายเรียกตร.

"อรรถวิชช์" แจงปม "เอกนัฏ" ยันคุณสมบัติไม่ขัดรมต. เคลียร์ชัดเป็นพยานคดี "ทักษิณ" ผิด 112 ตามหมายเรียกตร.

“อรรถวิชช์” แจงปม “เอกนัฏ” ยันคุณสมบัติไม่ขัดรมต. เคลียร์ชัดเป็นพยานคดี “ทักษิณ” ผิด 112 ตามหมายเรียกตร.

วันที่ 24 ส.ค. 67 ภายหลังนายวัชระ เพชรทอง อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ถูกเสนอเป็นรัฐมนตรี กรณีมีข้อมูลจากอัยการสูงสุด ว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตแกนนำกปปส. ถูกระบุชื่อเป็นพยาน และถูกเรียกให้ปากคำในคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้พาดพิงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยระบุว่า นายเอกนัฏ ให้การว่านายทักษิณไม่เข้าข่ายผิดมาตราดังกล่าว แต่อัยการได้สั่งฟ้อง รวมถึง นายเอกนัฏยังมีคดีกปปส.หมายเลขดำ อ.247/2561 หมายเลขแดง อ.317/2564 ศาลอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเอกนัฏ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี โดยรอลงอาญาและโทษปรับเงิน 13,333 บาท ได้ประกันตัว ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โดยคดีจึงยังไม่สิ้นสุดต้องยื่นไปยังศาลฎีกาพิพากษาต่อไป

ข่าวที่น่าสนใจ

ล่าสุด นายเอกนัฏ ยืนยันสั้นๆว่าได้ทำตามหน้าที่ตามกฏหมาย ที่เจ้าพนักงาน มีหมายเรียก ให้ปากคำ ตามคำสั่งของอัยการสูงสุด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 ซึ่งทำตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างใคร และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่ง และไม่ขอให้สัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว โดยมอบหมายให้นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้แจงประเด็นเรื่องคุณสมบัติแทน

 

 

โดย นายอรรถวิชช์ เปิดเผยว่ากรณีที่มีกระแสข่าวนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นผู้ให้ปากคำในคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร และประเด็นคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น

ประเด็นการให้ปากคำนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้ปากคำ จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใด ๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

 

 

สำหรับประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย วิ.อาญามาตรา 15 ประกอบวิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรค 1 ได้วางหลักว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี

ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมายกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเบื้องต้นหมายความว่า หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน

ดังนั้นประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนายเอกนัฏจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากอีก คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆนี้

“ข้อกฎหมายชัดเจนว่าคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรีได้ ใจผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าบริหารบ้านเมืองบ้าง”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น