จากนั้นในปี 2532 กฟผ. ได้โอนให้กรมชลประทานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น โดยกรมชลประทานได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ศึกษา และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อเดือนเมษายน 2534 และแผนแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในปี 2537
ต่อมาในปี 2539 ชาวบ้านในพื้นที่ รวมตัวชุมนุมให้ยกเลิกโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ชะลอออกไปก่อน หลังจากนั้นในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ผลักดันโครงการอีกครั้ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับเสียงคัดค้าน
และในปี 2555 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หยิบยกโครงการนี้ขึ้นมาศึกษาอีกครั้ง ซึ่งชาวบ้านมองว่า แทบจะทุกรัฐบาล มักจะยกเอาประเด็นการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นวิธีการแก้ปัญหา
จนถึงล่าสุดปี 2567 จากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ จ.แพร่, น่าน, สุโขทัย เป็นที่มาให้รัฐมนตรีภูมิธรรม ผุดแนวคิดที่จะปัดฝุ่นโครงการก่อสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เขื่อนแก่งเสือเต้น ควรสร้างไหม
งานวิจัยของ พิสิษฐ์ ณ พัทลุง ในปี 2539 จากข้อมูลมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น พบว่า การพิจารณาโครงการไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยรัฐได้ละเมิด พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ถึง 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่ง ณ เวลานั้น ประเทศไทยยังใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ปี 2538 ได้ตั้งข้อสงสัยในประเด็นแผ่นดินไหว โดยระบุว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นตั้งอยู่บนรอยเลื่อนของโลก
ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยืนยันว่า ต่อให้มีเขื่อนแก่งเสือเต้นน้ำก็ยังท่วมสุโขทัย เพราะน้ำไม่ได้มาจากลำน้ำยมเพียงอย่างเดียว มีนักวิชาการวิเคราะห์หลายคน หลายสำนักว่าต่อให้มีเขื่อนแก่งเสือเต้น สุโขทัยก็ยังเสี่ยงน้ำท่วมเช่นเดิม แม้จะเก็บกักได้ระดับ
ภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้ข้อมูลว่า การสร้างเขื่อนไม่ใช่ประเด็นหลักในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยมโดยตรง แต่มีความเห็นว่า ควรบริหารจัดการน้ำไปในแต่ละพื้นที่ให้มีความเหมาะสมน่าจะดีกว่า
ส่วนข้อมูลจาก ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลเทียบเคียงถึง ผลดี-ผลเสีย ของการสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ที่ลองชั่งน้ำหนักกันดู
ผลดี “เขื่อนแก่งเสือเต้น”
- มีเขื่อนที่สามารถบริหารจัดการปริมาณน้ำได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
- ได้ปริมาณน้ำประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในทุกปี และดีต่อการชลประทาน
- ชนิดพันธุ์ปลามีเพิ่มขึ้น
- เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่
- มีพื้นที่น้ำใต้ดินเพิ่มขึ้น ความชื้นสูง ทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์
- สามารถผลิตไฟฟ้าได้
ผลเสีย “เขื่อนแก่งเสือเต้น”
- เสียพื้นที่ป่าประมาณ 1 แสนไร่
- เสียไม้สักทอง
- ต้องใช้งบประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท
- ทำเลการสร้างเขื่อนดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นที่แนวโน้มเกิดแผ่นดินไหว
เมื่อการสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ที่กลายเป็นมหากาพย์ ถูกปลุกผีขึ้นมาอีกครั้ง จากนี้ต้องลุ้นว่า การนำโครงการ ออกมาปัดฝุ่นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะดำเนินการสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะเชื่อว่าแรงกระเพื่อมที่ปะทุขึ้นไม่ต่างจากแผ่นดินไหวอย่างแน่นอน
ที่มา : วิกิพีเดีย, มูลนิธิสืบนาคะเสถียร