วันที่ 21 ก.ย. 64 ผู้สื่อข่าว Top news ยังคงเกาะติด ความไม่ชอบมาพากล ในการทำธุรกิจของ บริษัท นาส แอ็ป จำกัด (NAS – APP) บริษัทแชร์ลูกโซ่ ที่มีผู้เสียหายไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว เดินทางไปที่ ซ.พระรามเก้า 43 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สำนักงานบริษัท นาส แอ็ป จำกัด เมื่อไปถึงก็พบว่า ไม่มีใครอยู่ในบริษัทแล้ว ประตูรั้วมีกุญแจโซ่คล้องติดอยู่ ผู้สื่อข่าว พยายามกดกริ่ง นับสิบครั้งก็ไม่มีใครเปิดออกมา จากที่มองเข้าไปด้านใน ยังมีเฟอร์นิเจอร์ ประจำออฟฟิศ แต่ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว สอบถามข้อมูลกับชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ ก็บอกว่า บริษัทแห่งนี้ มีพนักงานอยู่ 3-4 คน มีชาวต่างชาติมาเช่า มีรถหรูจอดอยู่ 2-3 คัน แต่ไม่ทราบว่าประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอะไร บางวันก็มีรถยนต์มาจอดนับ 10 คัน สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน เนื่องจาก กีดขวางทางเข้าออก
จากนั้น รปภ. ประจำหมู่บ้าน ก็ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ผู้ที่มาเช่าอาคาร เป็นชาวจีน ขับรถเบนซ์ สีขาว ไม่ทราบว่าประกอบธุรกิจอะไร แต่เห็นมีคนมาประชุมเป็นประจำและมีพนักงานคอยนั่งพิมพ์งานอยู่ตลอด ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน กระทั่ง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรถเก๋ง 2 คัน มาขนของบางอย่างออกไป จากนั้น ก็ไม่เคยเห็นคนจีนและพนักงานบริษัทอีกเลย ล่าสุดเมื่อวานนี้ มีกลุ่มคนขับรถเก๋งและรถมอเตอร์ไซค์ มาวนเวียนที่หน้าบริษัท จึงได้เข้าไปสอบถาม ก็ทราบว่าเป็นผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนกับบริษัทนี้ ส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
จากนั้นไม่นาน ก็พบมีรถ BMW มาขับวนเวียนหน้าบริษัทและถ่ายรูป ผู้สื่อข่าวจึงสอบถาม ก็ทราบว่า เป็นกลุ่มผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนและเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปแจ้งความที่ บช.สอท. โดยได้ให้ข้อมูลว่า ตนหมดเงินไปกับการลงทุนกับบริษัทนี้ รวมแล้ว 1,200,000 บาท ซึ่งตนมีอาชีพเกี่ยวกับการเทรดหุ้น ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อนฝูง ตอนแรก ก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ด้วยการชักชวนของเพื่อน ทำให้ตัดสินใจลงทุน เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งการลงทุนในช่วงแรก ยอมรับว่า มีเงินปันผลเข้ามาตลอด ซึ่งตนลงทุนครั้งแรก ในระดับ 6 เงินรวมกว่า 3 แสนบาท ได้เงินเข้าวันละ 3,000 – 5,000 บาท ได้เงินปันผลมาแล้ว กว่า 6 แสนบาท
กระทั่ง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบความผิดปกติ ที่ผู้ลงทุนบางรายไม่สามารถเบิกเงินได้ ประกอบกับ ข่าวลือว่า บริษัทขาดสภาพคล่อง จึงลองเบิกเงินออกมา แต่โชคดีที่สามารถเบิกได้ และวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถติดต่อกับแอปพลิเคชั่นดังกล่าวได้อีก และก็ไม่สามารถเบิกเงินได้อีกแล้ว จนเมื่อวานนี้ (จันทร์ 20 ก.ย.) จึงตัดสินใจไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ กองปราบ บก.ปอศ และ ปอท. และเมื่อเช้า ก็ไปแจ้งความที่ตำรวจไซเบอร์ จากนี้ คงรู้สึกเข็ดขยาด และไม่กล้าลงทุน หรือ เทรดหุ้นกับบริษัทที่ไม่น่าไว้วางใจอีกต่อไป แค่ในกลุ่มของตน ก็มีผู้เสียหาย รวมแล้วกว่า 600 คน
ผู้เสียหายรายนี้ ยังได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า จากการที่มีผู้เสียหาย เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ ตำรวจไซเบอร์ ทั้งวัน น่าจะมีผู้เสียหายมากกว่า 5 พันคน และมูลค่าความเสียหาย คาดว่าเป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่ง ตำรวจไซเบอร์ จะทำการรวบรวมคำให้การของผู้เสียหายทั้งหมด ก่อนส่งมอบสำนวนให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาทำคดีต่อไป