อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนไปครั้งหาเสียง นายกฯและพรรคเพื่อไทย ได้ระบุไว้ชัดว่า ไม่จับมือกับพรรคการเมืองใด นโยบายไม่ตรงปก พูดอย่างทำอย่าง พอได้เป็นรัฐบาลกลับมาขอโอกาสทำงานก่อน แล้ววันที่หลอกประชาชน เคยขอโอกาสหลอกหรือไม่? ดังนั้น ตรรกะความเห็นแก่ตัว จึงเป็นความเสียหายของชาติบ้านเมือง

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าขอโอกาสทำงานตามที่สัญญากับประชาชนไว้ ย่อมไม่มีใครกล่าวหารัฐบาลได้ ส่วนการทำบ่อนคาสิโน ไม่ได้หาเสียงไว้ แต่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างอบายมุขทำลายวัฒนธรรมชาติ ยิ่งคาสิโนกับบ่อนออนไลน์เป็นของคู่กัน และจะเป็นเรื่องเดียวกันในอนาคต

“ผลประโยชน์บ่อนออนไลน์อยู่ที่การถ่ายทอดสด เพื่อเก็บค่าน้ำเลี้ยงส่งบ่อนใหญ่ต่างประเทศ ฟังตัวเลขแล้วอาจตกใจ เพราะมีถ่ายทอดสดมากถึง 7 แสนเว็บพนันออนไลน์ เก็บค่าต๋งเว็บละ 3 หมื่นต่อเดือน ก็คูณไป (ประมาณ 2.1 หมื่นล้านต่อเดือน) ซึ่งเป็นต้นต่อหายนะ ดังนั้น รายได้หลักของบ่อน จึงอยู่ที่การถ่ายทอดออนไลน์ทั้ง 8 แห่ง แล้วอย่างนี้ประเทศจะเป็นอย่างไร”

นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อประชาชนชุมนุมยืนต้านการเปิดบ่อน และการขายชาติ พวกตรรกะวิบัติยังยัดเยียดให้เป็นการรับจ้างมาล้มรัฐบาล แล้วรัฐบาลมีนโยบายขายชาติเปิดบ่อนเร่งด่วน แล้วซุกซ่อนขายแผ่นดิน 3 แสนไร่ในแลนด์บริดจ์ ให้กลุ่มทุนต่างชาติ เป็นโครงการแห่งอุดมคติหรืออย่างไรกัน

นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ถูกนิตยสารไทม์ยกย่องเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตนั้น ว่า นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย ได้รับยกย่องมาแล้ว 3 คน นับตั้งแต่ปี 62 คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ / ปี 64 นายอานนท์ นำภา และปี 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แล้วมาปี 67 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ละคนที่กล่าวมา มีใครรอดคดีการเมืองกันบ้าง

นายธนาธร พรรคถูกยุบและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และยังมีคดีทางอาญา ส่วนอานนท์ นำภา ปัจจุบันอยู่ในเรือนจำ และในอนาคตคงถูกโทษจำคุกเพิ่มหนักขึ้นอีก และนายพิธา พรรคถูกยุบ ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี ในอนาคตยังต้องคดีมีโทษตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิตรออยู่

“สำหรับนายกฯ อุ๊งอิ๊ง มีอะไรที่น่าดีใจหรือไม่ เพราะนิตยสารไทม์ยกย่องใครเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ล้วนมีเหตุทำให้ย่อยยับกันทุกคน ดังนั้น ความภาคภูมิใจย่อมเหมือนชื่นชมคนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งร่างกายจะดูเปล่งปลั่ง จนเข้าใจว่าหายแล้ว ดังนั้น ในทางการเมืองเช่นเดียวกัน ไทม์ยกย่องใคร คนนั้นฉิบ…หมด”