“ทีมทนายดัง” พา “กลุ่มผู้เสียหาย” เข้าให้ข้อมูล แจ้งความปคบ. หลังถูกขายฝันร่วมลงทุนธุรกิจขายตรง – Top News รายงาน
มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ได้พาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปร่วมธุรกิจกับบริษัทขายตรงชื่อดัง ซึ่งผู้เสียหายที่มาในวันนี้มีอยู่ประมาณ 20 คน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มตอนนี้ประมาณ 500 คน แต่มีบางคนไม่สะดวกที่จะเดินทางมา เพราะอยู่ต่างจังหวัด และบางคนติดธุระส่วนตัว
สาเหตุที่มาในวันนี้เพราะเห็น พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงพาผู้เสียหายให้ข้อมูลกับตำรวจในประเด็นที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดธุรกิจของบริษัทนี้ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก บางคนขายของก็ไม่ได้ แถมยังชักชวนให้เข้าไปเรียน เข้าร่วมงานอีเวนท์ แล้วยังขายฝันให้จนมีคนเชื่อ แล้วยอมลงทุน บางคนใช้เงินเกษียณที่เป็นเงินก้อนสุดท้ายมาใช้ในการลงทุน บางคนเงินเก็บหายที่เก็บมาทั้งชีวิตลงทุนจนหมด สุดท้ายกลายเป็นหนี้จนคิดจะฆ่าตัวตาย
การเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่การบอกหรือการกล่าวหาว่า สิ่งที่บริษัททำนั้นผิดกฎหมาย แต่เพราะอะไรธุรกิจนี้ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับมีการโชว์สินค้าของบริษัท แล้วมีการฉีกซองเททิ้งเพื่อเป็นการให้ดูว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องจากเคยลองรับประทานแล้ว
ขณะที่ทางตัวแทนของผู้เสียหายได้ออกมาเปิดเผยถึงบริษัทกล่าวว่า ผู้เสียหายทุกคนจะเห็นธุรกิจของบริษัทนี้ในลักษณะเดียวกัน คือเริ่มจากการเห็นโฆษณาผ่านทางทีวี และโซเชียล โดยธุรกิจนี้จะมีการยิงแอดโฆษณาผ่านทางเฟซบุ๊ค ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังโควิด ตัวเองต้องการหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เลยสนใจที่จะลงเรียน ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์โดยมีค่าใช้จ่ายจำนวน 98 บาทหรือ 99 บาท
โดยสองวันแรกจะเป็นการเรียนการสอนเรื่องธุรกิจของบริษัท จากนั้นวันที่สามจะมีแม่ทีมลงมาสอน หากใครสนใจทำธุรกิจก็จะขายฝันว่าเป็นการสร้างรายได้เพิ่ม โดยที่ไม่ต้องสต๊อกของ ไม่ต้องมีสินค้าในมือ มีระบบช่วยเหลือหลังบ้านทั้งหมด จากนั้นจะมีเสนอให้เรียนคอร์สที่สูงขึ้นในราคา 2,500 บาท ซึ่งคอร์สนี้จะสามารถเรียนรู้ระบบของบริษัทได้มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นจะมีโค้ชนัดมาเรียนที่โรงเรียน เป็นการเรียนในห้อง นอกจากนี้จะมีครูพี่เลี้ยง หรือแม่ทีมมาช่วยประกบ หากเริ่มสนใจจะลงทุนแล้วจะมีคอร์สเรียนที่สูงขึ้นไปอีกในราคา 25,000 บาท โดยในคอร์สนี้ก็จะถูกเกลี้ยกล่อมว่าถ้าหากมาทำธุรกิจจะทำให้มีรายได้เพิ่ม และทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป หากใครสนใจจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนจำนวน 250,000 บาท
ตอนแรกยอมรับว่ายังไม่มั่นใจที่จะลงทุน 250,000 บาท แต่พอผ่านไปสักพักได้มีโอกาสร่วมงานประจำเดือนของบริษัท ทั้งอบรม และประชุม พอเริ่มเข้าไปอบรมก็จะมีดารานักแสดงชื่อดังมาพูดจนสร้างความเชื่อมั่นทำให้รู้สึกว่าบริษัทนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง ระบบหลังบ้านก็ดี การตลาดก็ดี และสินค้าก็ดี โดยดารานักแสดงชื่อดังจะพบเจอได้ในเฉพาะงานอีเวนท์ ซึ่งจะมีค่าบัตรเข้าร่วมงานจำนวน 1500 บาท เท่าที่เห็นจะมีจำนวน 3 คนด้วยกัน ซึ่ง 3 คนนี้ เท่าที่ได้ยินมาไม่ใช่แค่เป็นพรีเซนเตอร์ แต่เป็นถึงระดับผู้บริหารที่คนจะเรียกกันว่า “บอส”
พอเริ่มสนใจในการจะลงทุนธุรกิจแต่ตอนแรกเงินมีไม่พอ บัตรเครดิตก็มีไม่พอ จนมีแม่ทีมเป็นคนแนะนำให้ขยายวงเงินในบัตรเครดิต พร้อมแนะนำให้โทรไปหาธนาคารเพื่อขยายวงเงิน ประกอบในตอนนั้นแม่ทีมมีหารขายฝันว่าส่วนแบ่งและผลกำไรจะได้ยังไงบ้างตามที่แม่ทีมบอก จึงทำให้ตัดสินใจเข้าไปลงทุน โดยใช้เงินเก็บทุกบาทในชีวิตพร้อมกับเงินในบัตรเครดิตจนตอนนั้นไม่เหลือแม้แต่เงินจะกินข้าว
พอหลังจากลงทุนไปแล้วกลับกลายเป็นว่า ไม่ใช่การขายของเหมือนกับการที่ถูกขายฝันเอาไว้ แต่เป็นให้เราไปโฆษณาในโซเชียลเหมือนกับที่เคยเจอตอนแรก ด้วยการยิงแอดโฆษณาลงในเฟซบุ๊ค เพื่อเป็นการขายสินค้าเหมือนกับที่ตัวเองนั้นได้ซื้อมา ซึ่งการโฆษณาทางบริษัทก็จะมีสคริปให้พูดทุกอย่าง หากสามารถหาดีลเลอร์ หรือลูกค้ามาได้ ก็จะได้เปอร์เซ็นต์จากการหาคนมาสมัครต่อหัว ซึ่งเปอร์เซ็นต์แล้วแต่สินค้าตัวนั้นๆ
แต่สุดท้ายเริ่มมาเอะใจเพราะหลังจากที่เริ่มเรียนไปเรื่อยๆก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล สุดท้ายก็ไม่ได้สอนให้ขายของแต่ สอนให้หาคนมากระจายสินค้าด้วยการยิงแอดโฆษณาหาดีลเลอร์มาลงทุนแบบตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นแม้จะไม่มีเงินในการยิงแอดโฆษณา แม่ทีมมีการแนะนำให้เอารถไปรีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมายิงแอดโฆษณาหาลูกค้าคนอื่น หานักเรียนคนอื่นเข้ามาเรียน ทั้งแนะนำให้มีการชวนเพื่อน มีเบอร์คนไหนก็ให้โทรชวนคนนั้น จนตอนนี้ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต เงินที่ใช้ไปลงทุนก็ไม่เคยเห็นผล