พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2564 ถึงเป้าหมายในการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ซึ่งถ้านับแบบตัวเลขกลมๆจากวันนี้ เหลือเวลาอีก 23 วัน จะครบกำหนดในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ปัจจัยสำคัญ คือ การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกให้ได้ 50 ล้านคน ประมาณ 70% ของประชากร
ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนทั้ง 3 เข็มแล้วทั้งสิ้น 47,660,854 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 29,998,440 โดส , เข็ม 2 จำนวน 16,673,867 โดส ,เข็ม 3 จำนวน 988,547 โดส หากเข็มแรกจะฉีดได้ได้ตามเป้าคืออีกกว่า 20 ล้านคน ในระยะเวลากว่า 23 วัน ก็เฉลี่ยคือวันละ 1,000,000 โดส จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่
สูตรการฉีดวัคซีนไขว้ 2 เข็ม จากผลการศึกษาวิจัยโดยศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปได้ว่า
- การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด 2,259.9 หน่วยต่อมิลลิลิตร
- การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมาที่ 2,181.8 หน่วยต่อมิลลิลิตร
- การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ได้ระดับภูมิคุ้มกัน 1,049.7 หน่วยต่อมิลลิลิตร
การใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มแรก แล้วตามด้วยแอสตร้าหรือไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี
การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเป็นเข็มแรกควรตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2
การวัดเป็นผล anti-RBD IgG วัดโดยเครื่อง Abbott และรายงานเป็นหน่วยมาตรฐาน BAU/mL ส่วนผลการวัดแบบ PRNT50 นอกจากนี้ผลการศึกษายังไม่มีปัญหาเรื่องอาการข้างเคียงหลังฉีดเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สองในระยะเวลาห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ แต่ปัจจัยที่กระทรวงสาธารณสุข ใช้สูตรการฉีดวัคซีนแบบไขว้ โดยวัคซีนซิโนแวค เข็ม 1 ใช้เวลาห่างกันอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ จึงฉีดเข็ม 2 แอสตร้าเซเนก้า หรือ ไฟเซอร์ ตามที่วัคซีนที่เข้ามา
การฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าในเข็มแรก ก็ต้องระดมฉีดให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ล้านโดส จะเป็นไปได้หรือไม่
ด้านกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด ให้ได้ 1 ล้านโดส โดยถือฤกษ์ดีเดย์วันที่ 24 กันยายนนี้ เนื่องในวันมหิดล สาธารณสุขจึงเชิญชวนให้พร้อมใจกันฉีดวัคซีนโควิด ให้ได้ 1 ล้านโดส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแต่สมเด็จพระราชบิดา ผ่านระบบเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ทั่วประเทศที่กำหนดให้มีการฉีดวัคซีน 100,000 โดส ต่อเขตสุขภาพ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) “ที่ผ่านมาเราฉีดได้ประมาณ 40 ล้านโดส เฉลี่ยเดือนละ 12-13 ล้านโดส ดังนั้น เดือนตุลาคมนี้ ที่เรามีวัคซีน 24 ล้านโดส ส่วนเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม มีอีกเดือนละ 23 ล้านโดส รวมๆ แล้วเราจะมีวัคซีนอีก 60-70 ล้านโดส ที่ต้องฉีดให้ประชาชน โดยเป้าหมายปีนี้คือ 100 ล้านโดส แต่เรามีวัคซีน 124 ล้านโดส เราก็จะพยายามฉีดวัคซีนที่มีทั้งหมดให้ได้ หากเรามี 24 ล้านโดสต่อเดือน ก็เฉลี่ยวันละเกือบล้านโดสทุกวัน ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็ผ่อนลงบ้าง 3-4 แสนโดส
ส่วนวัคซีนเข็ม 3 ก็จะมีการเริ่มฉีดอย่างเป็นทางการ วันที่ 24 ก.ย.นี้ โดยคัดกรองผู้ได้รับวัคซีนเชื้อตายในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 ประมาณ 5 แสนโดส เฉลี่ยจากคนที่ฉีดเดือนมีนาคมมาก่อนตามลำดับ ไม่ได้ฉีดภายในวันเดียว
“คาดว่าใช้เวลา 1 เดือน ด้วยที่เรามีระบบหมอพร้อมอยู่ ก็ได้วางระบบติดตามประชาชนมาฉีดแล้ว ขณะเดียวกันก็สามารถวอล์กอินมาฉีดได้ เช่น ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็มีข้อมูลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การวางระบบต่างๆ ได้มีการหารือกันแล้ว และต้องเสนอ ศบค. ซึ่งรายละเอียดต้องสอบถามทางกรมควบคุมโรคอีกครั้ง” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
สำหรับเป้าหมายของการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย ตลอดทั้งปี 2564 จะมีวัคซีนโควิด-19 จำนวน 5 ยี่ห้อ รวม 140 ล้านโดส ดังนี้
1.ซิโนแวค จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 31.5 ล้านโดส ส่งมาแล้วประมาณ 19.5 ล้านโดส เหลืออีก 12 ล้านโดส จะส่งมาในเดือนกันยายนและตุลาคม เดือนละ 6 ล้านโดส
2.แอสตร้าเซนเนก้า จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 61 ล้านโดส ส่งมาแล้วประมาณ 17.72 ล้านโดส เหลืออีก 43.3 ล้านโดส ซึ่งจะส่งมาในเดือนกันยายนอีก 7.3 ล้านโดส, ตุลาคม 10 ล้านโดส, พฤศจิกายน 13 ล้านโดส และ ธันวาคม 13 ล้านโดส
3.ไฟเซอร์ จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 31.5 ล้านโดส โดยในเดือนสิงหาคมส่งมาแล้วบางส่วน 1.5 ล้านโดส เหลืออีก 30 ล้านโดส ซึ่งจะส่งมาในเดือนกันยายน 2 ล้านโดส, ตุลาคม 8 ล้านโดส, พฤศจิกายน 10 ล้านโดส และ ธันวาคม 10 ล้านโดส
4.ซิโนฟาร์ม จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 11 ล้านโดส ส่งมาแล้วประมาณ 9 ล้านโดส เหลืออีก 2 ล้านโดส จะส่งมาในเดือนกันยายน
5.โมเดอร์นา จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 5 ล้านโดส ในเดือนธันวาคม
ทั้งนี้ รวมยอดรับบริจาค/แลกเปลี่ยนจากประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษและภูฏานแล้ว จากข้อมูลที่นำเสนอให้เห็นในภาพรวมเป้าการเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้อย่างน้อย 50 ล้านคน เฉลี่ยต้องระดมฉีดวันละ 1 ล้านโดส ในเข็มแรก ก็ยังพอเห็นเงาลางๆ ส่วนจะได้หรือไม่นั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไป