ข่าวที่น่าสนใจ
เพราะอย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ 1 ใน 4 เงื่อนไขจัดม็อบลงถนนของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “ปลุกกระแสชาตินิยม” เพราะรับไม่ได้ที่รัฐบาลเพื่อไทย ปล่อยให้คนต่างด้าวประเทศเมียนที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายเพ่นพ่านเกลื่อนเมืองสร้างปัญหาสารพัด แย่งงานคนไทย แถมรัฐบาลจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน ประเคนให้อีก เพราะการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน แรงงานต่างด้าวได้ประโยชน์เต็ม ๆ ไม่ใช่แรงงานคนไทยได้อานิสงส์ หรือแม้กระทั่งปล่อยให้มีการเปิดโรงเรียนเมียนมา ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่? เพราะเกิดข้อกังขาว่า ทำไมโรงเรียนเมียนมาอยู่ในไทย แต่ไม่ให้ร้องเพลงชาติไทย ทำไมต้องให้ร้องเพลงชาติเมียนมา พร้อมกับขู่ว่ารัฐบาลทำอะไรไม่เข้าท่า หรือ ผิดจริยธรรม จะออกมาเคลื่อนไหว
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ปลุกให้ภาคประชาชนเริ่มตื่นตัว “เต้ อาชีวะ” หรือ “อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ” ผู้ประสานงาน กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน เมื่อภาครัฐนิ่งเฉยไม่จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว “เต้ อาชีวะ” ขออาสาลุยปราบปราม ต่างด้าวเถื่อน ที่เข้ามาค้าขายอาชีพสงวนของคนไทย แย่งงานแย่งรายได้คนไทย ไม่เท่านั้นจัดการต่างด้าวที่ตั้งตัวเป็น “มาเฟีย” เพราะถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ อาทิเช่น เรื่องฉาวพบว่า มีชาวเมียนมาแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ เป็นจิตอาสา โดยสวมเสื้อกั๊ก เป็นเสื้อสำหรับปฎิบัติงานนอกพื้นที่ โดยจะออกไปให้ความช่วยเหลือแรงงานชาวเมียนมาด้วยกัน ตามโรงพยาบาล และสถานที่ต่างๆ แต่พบว่ามีพฤติการณ์คล้ายเป็นผู้มีอิทธิพล และอาจเรียบรับผลประโยชน์จากแรงงานชาวเมียนมาร์ด้วยกัน โดยเชื่อว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังด้วย พร้อมกับหอบหลักฐานไปให้ “รังสิมันต์ โรม” ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย พรรคประชาชนที่มีนโยบายโน้มเอียงเอาใจเมียนมา
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอาจทำให้งบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุขไทยหลังแอ่น เพราะอย่าลืมว่า ตามบัตรประชาชน 13 หลัก ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาฟรีถึงระดับภาคบังคับมัธยมศึกษา ปีที่ 3 หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า “เรียนฟรี 15ปี” และ โดยเฉพาะ “บัตรทอง” งบประมาณรายหัวที่รัฐต้องควักงบประมาณแผ่นดินดูแล ข้อมูลปี 2567 ระบุว่า งบประมาณรายบัตรทองที่ต้องจ่ายต่อหัว 3,472 บาทต่อคน ต่อประชาชนไทย 47 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณ 2.17 แสนล้านบาท จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว หากให้สิทธิ์อีก 4.8 แสนคน
ทั้งนี้หากการให้สัญชาติล็อตแรก 4.8 แสนคน ผ่านฉลุย! จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดปัญหาการลักลอบเข้าไทย หลั่งไหลเข้ามาอีกหรือไม่ ทั้งมาแบบถูกกฎหมายและแอบเข้ามาแบบไม่ถูกกฎหมาย นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาไฟสงครามตามแนวชายแดน ที่ไทยต้องแบกรับภาระการจัดพื้นที่พักพิง ดังนั้นการที่รัฐบาลไฟเขียวให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มชาติพันธุ์ 4.8 แสนคน อาจจะกลายเป็นหัวเชื้อให้เกิดการทะลักเข้ามาเพิ่มเติมอีก ภาครัฐจะรับมืออย่างไร ที่จะเข้ามาในสถานะ “แรงงานต่างด้าว” ยังเป็นปัญหาที่กระทรวงแรงงาน ยังแก้ไม่ตก หรือ มาในรูปแบบ “ผู้หนีภัยการสู้รบ” รัฐไทยต้องจ่ายงบประมาณเพื่อมนุษยธรรมที่จะต้องดูแลผู้หนีภัยเหล่านี้ ให้อยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว
ดังนั้นผลกระทบจากลักลอบเข้าไทยโดยผิดกฎหมาย มีปัญหาหลากหลายมิติ อาทิ ปัญหาด้านความมั่นคง กระจายตัวอยู่ตามที่ต่าง ๆ โดยไม่รู้จำนวนและที่กบดาน , ปัญหาด้านสาธารณสุข ไม่ผ่านการตรวจโรคและสุขภาพ หากเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่ จากแรงงานเถื่อน จะรับมือยาก รวมถึงการเพิ่มภาระงานแก่บุคลากรการแพทย์ หรือ สูญเสียงบประมาณในการรักษาดูแลคนเหล่านี้ จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือ ปัญหาอาชญากรรม ค้ามนุษย์ เพื่อลักลอบเข้าไทย หนีไม่พ้นการถูกรีดไถ หรือ เข้ามาแล้วแต่หางานทำไม่ได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ก่ออาชญากรรม เป็นต้น
จึงต้องรอดูผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบ เมื่อรัฐบาลเพื่อไทย ตัดสินใจไฟเขียวให้สัญชาติไทย 4.8 แสนคน ผลลัพธ์จะออกมาเช่นใด?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
