“บิ๊กต่าย” ย้ำไม่แทรกแซง รพ.ตำรวจ ปมชั้น 14 หลังป.ป.ช. ร้องขอหลักฐาน ชี้สิทธิ์ขาดอยู่ที่คกก.

“ผบ.ตร.” กำชับผู้ใต้บังคับบัญชา เร่งคลี่คลายคดีสำคัญ ที่ประชาชนให้ความสนใจ หวังกอบกู้ภาพลักษณ์องค์กร แจง รพ.ตำรวจ ไม่ต้องขอความเห็นผบ.ตร. ปม เวชระเบียน ทักษิณ ชั้น14 หลัง ป.ป.ช. ร้องขอ ชี้สิทธิ์ขาดอยู่ที่คกก. ไม่แทรกแซงการทำงาน

“บิ๊กต่าย” ย้ำไม่แทรกแซง รพ.ตำรวจ ปมชั้น 14 หลังป.ป.ช. ร้องขอหลักฐาน ชี้สิทธิ์ขาดอยู่ที่คกก. – Top News รายงาน

 

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. มีมติให้ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. เมื่อช่วงตุลาคมที่ผ่านมา โดยผบ.ตร.กำชับตำรวจทุกนายว่า ต้องให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเป็นธรรมและรักษากฎหมาย ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องเร่งรัดและตั้งใจทำงานในคดีต่างๆ ที่สังคมให้ความสนใจในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว เช่น คดีป๋าเบียร์และแม่ตั๊ก กรณีฉ้อโกงประชาชนในการหลอกขายทองคำ ,คดีดิ ไอคอนกรุ๊ป ที่มีการฉ้อโกงประชาชน , คดีนางศิรินัดดา หักพาล ถูกแจ้งความว่าลักทรัพย์และบุกรุกคอนโดมิเนียมของนางสาวธณัฎฐา ยอดเยี่ยม หรือ หนิง และนายตำรวจยศ พันตำรวจเอก ซึ่งต่อมานางศิรินัดดา แจ้งความกลับว่านางธนัฏฐาและสามีแจ้งความเท็จ รวมถึงคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ,คดีตำรวจ 6นายร่วมกันอุ้มและรีดทรัพย์ชาวจีน ,คดีบ่อนและพนันออนไลน์ ,คดีทุนจีนสีเทา ,คดีหลอกลวงประชาชนทางสังคมออนไลน์ ,การจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวนมากและคดีอื่นๆที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เนื่องจาก ผบ.ตร.ให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ทุกคดีที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจให้สังคมเชื่อมั่นอีกครั้ง หากตำรวจรายใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ผบ.ตร.เน้นว่าต้องดำเนินคดีถึงที่สุดอย่างเด็ดขาดทุกราย

แหล่งข่าว เปิดเผยอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทำเรื่องขอเวชระเบียนการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่รับโทษ จากโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น14 ไปถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับนั้น ทางพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ บอกสื่อมวลชนไปแล้วว่าทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ว่ามีหน่วยงานหรือองค์กรอิสระติดต่อขอข้อมูลการรักษาตัวของนายทักษิณจากโรงพยาบาลตำรวจ แต่ในส่วนของการบริหารราชการ ถึงแม้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ จะเป็นผู้บังคับบัญชา แต่อำนาจสิทธิ์ขาดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจ ที่จะต้องพิจารณาคำร้องขอว่าสามารถให้ได้หรือไม่ อย่างไร เพราะ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ประเด็นนี้โรงพยาบาลตำรวจไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจาก ผบ.ตร. ส่วนเรื่องดังกล่าวจะมีนัยอะไรหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่กำชับให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

ข่าวที่น่าสนใจ

นอกจากนั้น แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า ตอนนี้ฝ่ายการเมือง นักเคลื่อนไหวทางสังคม และพยายามกดดัน ผบ.ตร.ว่า ต้องสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจส่งข้อมูลของนายทักษิณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อ หาก ผบ.ตร.ไม่กระทำ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 นั้น หากพิจารณาสิ่งที่ ผบ.ตร.กล่าวกับสื่อมวลชนในเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขอชี้แจงว่า กรณีของนายทักษิณนั้น ผบ.ตร. จะไม่แทรกแซงการทำงาน การพิจารณาและการตัดสินใจของหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ที่ต้องพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ แต่ขอให้ไล่เรียงไทม์ไลน์กรณีนี้ด้วยว่า นายทักษิณ กลับประเทศและไปรายงานตัวต่อศาลและเข้าเรือนจำในวันที่ 22 สิงหาคม 66 และรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยช่วงนั้นผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติคือ พลตำรสจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. โดยช่วงนั้นพลตำรวจเอปกิตติ์รัฐ ได้รับการแบ่งงานจากพลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ ให้กำกับดูแลหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ,ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ มอบให้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม ดังนั้นหากพิจารณาไทม์ไลน์อย่างเป็นธรรมจะพบว่า การรับผิดชอบหน้าที่ของพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ในช่วงที่เป็น รอง ผบ.ตร. กับกรณีนายทักษิณที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น จะพบว่าในช่วงนั้น พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจเลย แต่กระแสกดดันจากหลายฝ่ายในตอนนี้พยายามโยงว่า ผบ.ตร. อาจไม่ร่วมมือในการให้ข้อมูลของนายทักษิณและอาจมีความผิดไปด้วย

 

แหล่งข่าวระบุอีกว่า ต้องพิจารณาข้อกฎหมายและเคารพการพิจารณาของคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจในกรณีนี้ด้วย หากบางฝ่ายระบุว่า ผบ.ตร. มีอำนาจสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ได้นั้น ควรพิจารณาอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่มอบให้ ผบ.ตร.รับผิดชอบด้วยว่ากระทำหรือไม่กระทำอะไรได้บ้าง ยืนยันว่า แม้วันนี้ ผบ.ตร.มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่ ผบ.ตร.ก็ต้องเคารพกฎหมายเหมือนประชาชนทุกคน ดังนั้น ผบ.ตร.จะกระทำในสิ่งนอกเหนือกฎหมายให้อำนาจหน้าที่ไม่ได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"พิชัย" บินร่วมประชุมเอเปค หารือรมต.การค้า 21 ชาติทั่วโลก พุ่งเป้าขยายลงทุน ขยับยอดส่งออกสินค้าไทย
"3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" ยื่นหนังสือ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แก้ไขปัญหาในส่วนของท้องถิ่น 4 เรื่อง
VGI แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 67/68 มีรายได้ 1,341 ล้านบาท โต 23.7% นำโดยสื่อโฆษณาทุกประเภท
ศาลค้านประกันตัว ตร.กองปราบหิ้วฝากขัง "ตี่ลี่ฮวงจุ้ย" เข้าเรือนจำ
เอาแล้ว “ทนายบอสพอล” แหกแรง “ฟิล์ม” โกหก ไม่เคยจ้างโปรโมทดิไอคอน
"กรมพัฒนาธุรกิจฯ" จับมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งแก้ปัญหานอมินีและบัญชีม้าทุกมิติ
“บิ๊กเต่า” จ่อเรียก “หนุ่ม กรรชัย” ให้ข้อมูลปมคลิปเสียง 20 ล้านบาท
บุกรวบทันควัน "หนุ่ม" โพสต์ขู่ยิง "เด็กอนุบาล" จ.มหาสารคาม
ผืน ‘ป่าสองสี’ ฝีมือธรรมชาติในจีน
ชายจีนขับรถพุ่งชนฝูงชนที่สนามกีฬาจูไห่

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น