“อี้ แทนคุณ” ยื่นสภาฯสอบ “ทนายธรรมราช” ปมหมิ่นศาสนาอิสลาม ชี้พฤติกรรมสร้างแตกแยก
ข่าวที่น่าสนใจ
12 พ.ย.2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ พร้อมด้วยตัวแทนชาวอิสลาม ชาวซิกส์ ชาวฮินดู เข้ายื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับยื่นหนังสือ เพื่อขอให้หยุดพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในสังคม เนื่องจากมีการดูหมิ่นศาสนาอิสลาม จาก ทนายธรรมราช สาระปัญญา ที่มีพฤติกรรมดูหมิ่น เหยียดศาสนาและการมีส่วนร่วมในการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ สร้างความแตกแยก ตื่นตระหนกแก่ประชาชน เผยแพร่โจมตี ศาสนาอิสลามผ่านสื่อ โดยมีพฤติกรรม การทำรูปภาพชายแต่งต่งกายโพกผ้าสะระบั่นขี่หมู และมีข้อความกำกับว่า กำลังไปช่วย ซึ่งภาพดังกลังกล่าวนั้น วิญญูชนทั่วไปที่ได้เห็นก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า เป็นภาพที่มีมุสลิมชายผู้เคร่งครัดในศาสนาขี่หมู ซึ่งการแต่งกายในรูปเป็นลักษณะของมุสลิมที่เคร่งครัดในศาสนาโดยดังกล่าวโพสต์หน้าเฟซบุ๊คเปิดเป็นโพสต์สาธารณะ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมเหยียดหยามศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน และไม่ให้เกียรติพี่น้องชาวมุสลิม ไทยและมุสลิมทั่วโลก รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
นายแทนคุณยังระบุว่า ปรากฏการโพสต์ข้อความอีกว่า “นี่หรือคือแดนดินถิ่นอิสาน? ที่สวยงามด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี ท่านเห็น3จังหวัดชายแดนไหมครับ ว่าชาวพุทธและพระสงฆ์อยู่ได้มั้ย” พร้อมใส่รูปผู้หญิงมุสลิมแต่งกายตามศาสนา ถ่ายรูปอยู่หน้ามัสยิดในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกตกใจ และเกิดความ กลัวหวาดระแวง นำไปสู่ความแตกแยกระหว่างศาสนา เนื่องจากในปัจจุบันมีพี่น้องชาวไทยโดยเฉพาะชาวอีสานเดินทางไปทำงานในพื้นที่ที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าทนายธรรมราชกำลังปกปั่นให้ประชาชนเกิดความแตกแยกระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จจนตีศาสนาอิสลามโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่คำนึงถึงวิชาชีพทนายความ ที่อยู่ในกรอบของบ้านเมืองเคารพกฎหมายให้เกียรติ เพื่อนมนุษย์ เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ปัจจุบันทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ฉันพี่น้อง และอยู่ร่วมกันมาโดยตลอดด้วยการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน การเหยียดศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการกระทำที่ผิดต่อศีลธรรมอันดีของปวงชนชาวไทยอย่างใหญ่หลวง จึงเห็นว่าหากปล่อยให้นายธรรมราชสาระปัญญาใช้วิชาชีพทนายความมาสร้างกระแสความเกลียดชังกันในศาสนาเช่นนี้อีกต่อไปอาจนำมาซึ่งความแตกแยกระหว่างประชาชนคนไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งหากปล่อยให้ ทนายธรรมราช สาระปัญญา กระทำการแบบนี้ต่อ ก็จะเกิดความแตกแยกรุนแรงบานปลายไปมากกว่านี้ จึงได้มายื่นเรื่องให้ทางประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการทั้งทางอาญาและทางปกครอง เพื่อให้เกิดความสงบสันติในสังคม
นายแทนคุณกล่าวอีกว่า การมายื่น ที่สภาผู้แทนราษฎรนั้น เพราะ เราทำทุกทางที่ผ่านมาได้ไปที่สภาทนายความมาแล้วแต่การทำงานที่สภาทนายความมีความล่าช้าที่สุดอย่างน้อย 6 เดือนอย่างมากเป็นปี เนื่องจากต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาและมีหลายขั้นตอน รวมทั้งมีเรื่องร้องเรียนที่ค้างอยู่อีกจำนวนมาก ซึ่งตนได้เดินทางไปแจ้งความที่กองปราบแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน ดังนั้นในฐานะเป็นคนการเมืองจึงมองว่า การมายื่นที่สภาน่าจะเป็นช่องทางที่เร็วที่สุด เพราะเห็นว่าเรื่องศาสนาสภาฯเกี่ยวโดยตรงเนื่องจาก ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของรัฐ เพราะ จะส่งผลกระทบต่อคนไทยที่ทำงานในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก หลายพื้นที่เข้าสู่สภาวะสงครามจะทำให้มีความเสี่ยง ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แม้แต่พระพุทธศาสนายังมีเรื่องเชื่อมจิตที่ไม่มีในพระไตรปิฎก และสิ่งที่ทนายคนดังกล่าวทำต่อไปคือถ้าใครมาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความเห็นต่าง ๆ เข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทก็จะไปฟ้อง และเสียงเรียกค่าเสียหายคนละ 30,000-300,000 บาท ฉะนั้นการกระทำแบบนี้ตนคิดว่าไม่ใช่ เจตนาสุจริตและไม่ใช่เรื่องปกติวิสัย และตราบใดที่ยังมีขบวนการนี้อยู่ ตนก็ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดแม้ตนเองจะนับถือศาสนาพุทธ ก็ยังเอาตนไปด่าว่าเป็นมุสลิมซึ่งตนไม่ได้ถือโกรธอะไร เพราะไม่ได้รังเกียจหรืออคติกับศาสนาใด แต่ การที่ไปตีตราว่าใครก็แล้วแต่ไปเคลื่อนไหวในการช่วยในการช่วยเหลือพี่น้องต่างศาสนา แล้วต้องเป็นศาสนาเขาและรับเงินรับทอง ตนคิดว่า เป็นข้อใส่ร้ายที่โหดเหี้ยมและเป็นการยุยงปลุกปั่นที่ไม่ควรให้อภัย
ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยปละละเลยให้มีกระบวนการเสี้ยมหรือปลุกปั่น ในการทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิเสรีภาพ ที่บุคคลใดจะนับถือศาสนาใดก็ได้และสามารถไปได้ทั่วประเทศไทย อย่างมีเสรีภาพแต่ มีการตั้งมัสยิดที่จังหวัดร้อยเอ็ดทนายคนดังกล่าวก็ไปโพสต์ ว่าเห็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อีสานหรือไม่ ทำเช่นนี้แปลว่าอะไร
ดังนั้น นี่คือสิ่งที่ตนต้องมาดำเนินการเรื่องนี้บ่อยๆเพราะเขายังไม่หยุด และสงสัยว่าไม่มีใครไม่มีใครดำเนินการเขาได้เลยหรือ หรือประเทศนี้ไม่มีใครหยุดพฤติกรรมการปลุกปั่นแบบนี้ได้เลยหรือ ตนไม่เชื่อแล้วจะทำให้สำเร็จให้ได้ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น