“ทนายสายหยุด” ยืนยัน “ทนายตั้ม” ห้าม “เจ๊อ้อย” โอนเงิน 39 ล้าน ย้ำหากหลักฐานชัด โยงเอี่ยวโกงเงินขอไม่ทำคดี

ทนายสายหยุด เผย คดี 39 ล้าน รอให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ประกอบกับตรวจสอบหลักฐาน ย้ำ หากหลักฐานชัด “ทนายตั้ม” เอี่ยวโกงเงิน 39 ล้าน ไม่ทำคดีให้ ส่วน“ทนายตั้ม”สบายดี ไม่มีกังวล

“ทนายสายหยุด” ยืนยัน “ทนายตั้ม” ห้าม “เจ๊อ้อย” โอนเงิน 39 ล้าน ย้ำหากหลักฐานชัด โยงเอี่ยวโกงเงินขอไม่ทำคดี – Top News รายงาน

 

วันนี้ (12 พ.ย. 67)  เมื่อเวลา 14.10 น. นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความส่วนตัวของนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนเองได้เดินทางเข้าเยี่ยมทนายตั้ม พบว่ามีกำลังใจดี ไม่มีความเครียด และได้พูดคุยกันในเรื่องทั่วไป และในเรื่องคดี ซึ่งมีการถามถึงคู่กรณีของทนายตั้มที่อยู่ภายในเรือนจำด้วย ซึ่งทนายตั้ม ยืนยันว่า ไม่มีใครทำอะไร ประกอบกับการดูแลภายในเรือนจำมีกฎมีระเบียบอย่างดี นอกจากนี้ ยังฝากเงินให้ทนายตั้มไว้ใช้ภายในเรือนจำอีก 15,000 บาทด้วย

ส่วนทนายตั้ม ได้ฝากให้ตนเองไปจัดการเรื่องคดีความที่ค้างของบริษัท ว่าจะให้ใครเป็นคนกำกับดูแลคดีนั้นต่อ และฝากให้ตนเองพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อทำเรื่องขอประกันตัวภรรยาออกไปก่อน ส่วนตัวทนายตั้ม ไม่ต้องยื่นประกันตัว จนกว่าอัยการจะสั่งฟ้อง

ส่วนกรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้จับกุม นายนุวัฒน์ หรือ นุ คนสนิททนายตั้ม และนางสาวสารินี แฟนสาว ในคดีฉ้อโกงเงิน 39 ล้านบาทนั้น ตนเองทราบข่าวดังกล่าว หลังออกจากเรือนจำแล้ว จึงไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับทนายตั้ม ซึ่งในเบื้องต้นก็จะต้องตรวจสอบรายละเอียดของคดีก่อน ว่าทนายตั้มเข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนไหน หากพบว่าในคดีดังกล่าว ทนายตั้มมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจริง ตนเองก็ได้พูดคุยไปแล้วว่า จะไม่ขอรับทำคดีดังกล่าว

ในส่วนที่มีการกล่าวหาว่าวันที่นายนุวัตรและแฟนสาวมีการไปเบิกเงินสดจำนวน 39 ล้านที่ห้างสรรพสินค้าดังแห่งหนึ่ง และมีการกล่าวอ้างว่าในวันดังกล่าวทนายตั้มก็ไปด้วยนั้น เรื่องนี้ตนขอให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กล่าวหาก่อน และตนจะนำหลักฐานมาสู้กับการกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าในวันนั้นทนายตั้มไม่อยู่

ทนายสายหยุด

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ผู้สื่อข่าวก็ได้มีการสอบถามว่าในส่วนของตัวทนายตั้มกับนายนุวัฒน์และนางสาวสาลิณีนั้น มีความสนิทสนมกันหรือไม่ ทนายสายหยุดบอกว่าตนเคยไปเที่ยวกับสำนักงานทนายความของทนายตั้ม ซึ่งมีนายนุวัฒน์และนางสาวสารินีตามไปด้วย โดยตนทราบเพียงว่าทั้งสองคนเป็นแขกของทนายตั้ม ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ซึ่งตนก็มีการพูดคุยกับทั้งสองคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีการถามรายละเอียดเชิงลึกถึงเรื่องความรู้จักสนิทสนมระหว่างทนายตั้ม และไม่เคยมีการพูดคุยกันหลังจากนั้นอีก

ส่วนกระแสข่าวว่าจะแจ้งความทนายตั้ม เพิ่มนั้น ตนเองได้โทรศัพท์ติดต่อไปสอบถามที่ตำรวจ ซึ่งบอกว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาจริง แต่ยังไม่ได้แจ้งในวันนี้ หากจะแจ้งข้อกล่าวหาก็จะต้องประสานตนเองให้เข้าไปรับฟังด้วย หากพบว่าวันที่เจ้าหน้าที่ไปแจ้งข้อกล่าวหากับทนายตั้ม แล้วพบว่ามีการเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด มีการแต่งเรื่องไปหลอกลวงเพื่อรับเงินจริง ตนเองก็ยืนยันว่าจะไม่ทำคดีนี้

ส่วนกรณีที่ทนายตั้มไม่ทราบเรื่องการแต่งเรื่องไปหลอกมาดามอ้อยนั้น แล้วได้ห้ามปรามมาดามอ้อยก่อนจะโอนเงินไปหรือไม่ ทนายสายหยุด บอกว่า เรื่องนี้ตนเองได้คุยกับทนายตั้มตั้งแต่แรกๆ แล้ว ซึ่งทนายตั้มบอกว่า ได้ห้ามมาดามอ้อยแล้ว

 

ส่วนที่ทนายเดชา บอกว่ามีพยานบุคคล ที่รู้ข้อมูลว่ามีการโอนเงินจำนวน 71 ล้าน ให้กับทนายตั้ม เป็นการโอนให้โดยเสน่หานั้น ยืนยันว่า มีพยานบุคคลจริง แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ซึ่งหลังจากนี้ จะต้องรอให้พยานคนดังกล่าวมาให้ปากคำกับตำรวจก่อน

ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนของทนายตั้ม ก็รู้สึกเป็นกังวลใจ ถ้าทนายตั้ม มีส่วนร่วมกระทำความผิดจริง ในคดีฉ้อโกงเงิน 39 ล้าน ซึ่งทางนายนุ กับแฟนสาว ได้ซัดทอดว่าทนายตั้ม มีส่วนร่วมจริง แต่ในแนวทางการสอบสวนแล้ว เชื่อว่าตำรวจน่าจะมีพยานหลักฐานมากพอแล้ว เพราะมีการออกหมายจับทั้งนายนุ และแฟนสาว รวมถึงกรณีที่เตรียมจะแจ้งข้อกล่าวหากับทนายตั้มอีก ซึ่งหากจะแจ้งข้อกล่าวหานั้นก็จะกลายเป็นคดีใหม่ขึ้นมา แต่จะมีข้อหาใดบ้าง และมีผู้ร่วมกระทำความผิดกี่คน ต้องไปตรวจสอบอีกครั้ง

สำหรับกระแสข่าวเรื่องทนายตั้ม ประสานผู้กำกับการ สน.บางซื่อ ว่าจะมีคนเข้าไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลอกเงินมาดามอ้อยนั้น เรื่องนี้ตนเองได้พูดคุยกับทนายตั้ม ยืนยันว่า ไม่มีการประสานไปหาผู้กำกับการ สน.ดังกล่าว และไม่มีการฝากให้คนสนิท 2 คน ไปลงบันทึกประจำวันแทน ซึ่งเรื่องนี้ตนเองไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะไม่ได้พูดคุยเชิงลึกกับทนายตั้มในเรื่องนี้

ทั้งนี้ ทนายสายหยุด ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองเป็นทนายความ มีหน้าที่แก้ต่างให้กับลูกความ ซึ่งในตามหลักความเป็นจริงแล้ว หากลูกความกระทำความผิด ก็ต้องได้รับโทษ แต่ควรจะได้รับโทษในอัตราที่เหมาะสมกับที่เขากระทำ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ฮีโร่โอลิมปิคเหรียญทองน้องอร “ฉายาสู้โวย” ร่วมแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน ในงานกีฬาประจำปีอบต.ไทยสามัคคี พร้อมลงแข่งขันตีกอล์ฟบก สร้างความสนุกสนานเฮฮา
"สธ." ยันพบชาวเมียนมา ป่วยอหิวาฯ รักษาฝั่งไทย 2 ราย อาการไม่รุนแรง
สุดทน "พ่อพิการ" ร้อง "กัน จอมพลัง" หลังถูกลูกทรพี ใช้จอบจามหัว-ทำร้ายร่างกาย จนนอน รพ.นับเดือน
สลด กระบะชนจยย.พลิกคว่ำตก "ดอยโป่งแยง" เชียงใหม่ เจ็บตายรวม 13 ราย
“สมศักดิ์” ยกนวดไทยเป็นมรดกชาติ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพ เล็งพาหมอนวดโกอินเตอร์ โชว์ฝีมืองาน เวิลด์เอ็กซ์โปโอซาก้า ญี่ปุ่น
ห่ามาแล้ว! “แม่สอด” พบติดเชื้ออหิวาต์ เผยญาติฝั่งพม่าซื้อข้าวมากินด้วยกัน
ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ สั่งตั้งคกก.สอบ "ตร.จราจร" รีดเงินแทนเขียนใบสั่ง
สตม. บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลางคอนโดหรูห้วยขวาง รวบ 6 คนจีน อึ้งเจอซิมการ์ด 2 แสนซิม
ครูบาอริยชาติ เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ฉลองสมโภช 18 ปีวัดแสงแก้วโพธิญาณ และทำบุญฉลองอายุวัฒนมงคล 44 ปี
กกต.สั่งดำเนินคดีอาญา "ชวาล" ส.ส.พรรคประชาชน ยื่นบัญชีใช้จ่ายเท็จ โทษคุก-ตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น