สสส.สานพลังภาคี ดึงคนไทยสู่เวอร์ชั่นใหม่ “สังคมกระฉับเฉง” ตั้งเป้าขยับกายเพิ่ม 85% ในปี 73

กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่าย เปิดแถลงการณ์ “12 ปีการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อวิถีชีวิตสุขภาวะของคนไทย”

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า กลุ่มคนที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ที่น่าเป็นห่วงสุดคือเด็กและเยาวชน, ผู้สูงอายุ ดังนั้นการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติจึงมีความสำคัญ และจำเป็นต้องลดช่องว่าง 2 มิติ คือ 1.มาตรการที่นำมาใช้ยังมีความเหลื่อมล้ำ 2.สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย ผู้ว่างงาน ผู้ด้อยโอกาส สามารถเข้าถึงพื้นที่สุขภาวะได้

“ประเทศไทย มีประชากรในวัยทำงานประมาณ 30 กว่าล้านคน ที่ต้องใช้ชีวิต 8 ชั่วโมงอยู่ในสถานประกอบการ กลุ่มนี้มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการผลักดันให้มากขึ้น ส่วนเด็กและเยาวชน เวลาส่วนใหญ่ถูกดึงไปอยู่กับหน้าจอ และติดเก้าอี้จากการนั่งเรียนอยู่กับที่ ทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง โดยตลอดระยะเวลาของการทำงาน 12 ปี ร่วมกับภาคีพบระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนไทย ต่ำกว่า 70% แต่หลังจากผ่านพ้นสถาณการณ์ แพร่ระบาดโควิด-19 ตัวเลขขยับขึ้นแต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ สสส.ได้ตั้งเป้าหมายภายในปี 2573 กิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนไทยควรอยู่ที่ 85%”

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นางสาวนิรมล ราศรี ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ (สสส.) กล่าวเสริมว่า สสส.ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เร่งขับเคลื่อนกลยุทธ์การส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางกายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉง เริ่มต้นด้วยยุทธศาสตร์ 2 เพิ่ม 1 ลด คือ เพิ่มให้คนไทยมีกิจกรรมทางกายและเพิ่มพื้นที่สุขภาวะมากขึ้น เพื่อลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง

“มีการออกแบบพื้นที่สุขภาวะให้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เช่น Healthy City เมืองน่าอยู่ เมืองสุขภาพดี ,ลานสร้างสุขภาวะชุมชน , สวน 15 นาที สวนขนาดเล็กใกล้บ้าน ,Healthy Organization องค์กรสุขภาพดี, Healthy+Active Meeting การประชุมสุขภาพดี และต้นแบบ “โรงเรียนฉลาดเล่น ” นางสาวนิรมล กล่าวต่อว่า ผลจากการทำงาน 12 ปีการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ทำให้คนไทยรับรู้และความเข้าใจ กิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นถึง 60% นั่นหมายถึงกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถออกแบบกิจกรรม เพื่อความกระฉับกระเฉงที่เหมาะสมกับตนเองได้

 

 

ด้าน นพ.วันฉัตร ชินสุวาเทย์ ผู้อำนวยการกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยถึงข้อมูลที่พบของคน 5 กลุ่มวัยว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ส่งผลให้เด็กไทยมีพัฒนาการล่าช้าร้อยละ 22.5, กลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 5-17 ปี เป็นกลุ่มที่มีปัญหาที่สุดเพราะพ่อแม่ผลักดันให้เรียนเป็นหลักทำให้ค่าเฉลี่ย 12 ปี ของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอต่ำมากเพียงแค่ 23.1% ต่ำจากเป้าที่ตั้งไว้ 40% ,วัยผู้ใหญ่18-59 ปี ภาพรวมอยู่ที่ 70% มีช่องว่างห่างจากกลุ่มเด็กมาก

“ในกลุ่มผู้ใหญ่พบความเหลื่อมล้ำ ในการมีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำกว่า 3,500 บาท/เดือน เป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องทำมาหากิน ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่ามีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าวัยทำงานเล็กน้อยอยู่ที่ 64.8% ปัญหาของผู้สูงอายุถ้ากิจกรรมทางกายไม่เพียงพอจะทำให้กล้ามเนื้อบางลง มีผลกับการเดิน การหกล้ม อาการซึมเศร้าวิตกกังวลและภาวะสมองเสื่อม”

ทั้งนี้ รองศาตราจารย์ ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล เผยว่า ผู้หญิงเคลื่อนไหวน้อยกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งต้องดูแลครอบครัว ทำให้ขาดกิจกรรมทางกายที่เพียงพอกว่า 16 ล้านคน ในขณะที่เด็กและเยาวชนมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอเพียง 20% เท่ากับ 4 ใน 5 คนมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง 14 ชั่วโมงต่อวัน เท่ากับการนั่งรถจากกรุงเทพฯไปยะลา ซึ่งถ้ายังนั่งแบบนี้ทุกวัน จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการตามวัยและสุขภาพในระยะยาว

 

 

หลังจากสถานการณ์โควิด-19 พบความเหลื่อมล้ำของการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และตกงาน ซึ่งไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ รวมถึงกลุ่มอาชีพใหม่ที่ต้องเฝ้าระวังคือ กลุ่มคนที่ขายของออนไลน์และไรเดอร์ ในระยะยาวอาจทำให้แนวโน้มของผู้ป่วยในกลุ่ม “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” NCDs เพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในระบบบริการสุขภาพที่ตามด้วย”

“ทีแพค มีการวิเคราะห์เป้าหมายการเพิ่มกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอ ร่วมกับนานาชาติกลุ่มประชากร 5.7 ล้านคนทั่วโลก พบข้อท้าทายใหม่ ประเทศเรารวมอยู่ในกลุ่มสีแดง ที่องค์การอนามัยโลกบอกว่าในช่วง 10 ปีถ้าไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่แต่ละประเทศวางไว้ จะมีประชากรโลกอีก 500 ล้านคนเป็นผู้ป่วย NCDs รายใหม่ ฉะนั้นต้องเชื่อมโยงนโยบายไปสู่ระดับปฏิบัติให้ได้ด้วยการผสานกำลังกันทุกภาคส่วนของภาคีเครือข่าย” ดร.ปิยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สก.นภาพล" ชงสภากทม. ชี้จำเป็นลดภาระดอกเบี้ยวันละ 5 ล้าน ควรยึดคำพิพากษา "ศาลปกครองสูงสุด" เร่งชำระหนี้ BTS งวด 2 กว่า 2 หมื่นล้าน
ผู้นำจีนลั่นจะยกระดับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเอเชีย
“พิพัฒน์” ย้ำดูแลผู้ประสบภัยเหตุตึกสตง.ถล่ม พร้อมรับข้อเสนอ ส.ส.ผลักดันมาตรการป้องกันเกิดเหตุซ้ำ
กลุ่ม ปตท. จับมือกับโรงเรียนกำเนิดวิทย์ จุดประกายอนาคตนักวิทย์ไทย ผ่านโครงการส่งเสริมสะเต็มศึกษา 2568
รองผบช.น. เผยสอบพยานแล้ว 98 ปาก เอาผิดผู้เกี่ยวข้อง "ตึกสตง." ถล่ม เร่งตรวจวัตถุพยานที่เกิดเหตุ
"สหพัฒนพิบูล" ชวนชอปคลายร้อน ต้อนรับซัมเมอร์ สหพัฒน์เดลิเวอรี พร้อมส่งตรงความสุขถึงหน้าบ้านด้วยโปรโมชันส่งฟรี
"บ.ไชน่าเรลเวย์" ล้มโต๊ะเจรจาค่าจ้าง ปัดไม่เคยค้างเงิน ด้าน "9PK" โชว์เอกสารเบิก ขอช่วยจ่ายให้กลุ่มผู้รับเหมาก่อน
"อนุทิน" แจง "ไชยชนก" ผิดคิว แสดงจุดยืนค้านกม.กาสิโน พร้อมเคลียร์นายกฯ เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติภูมิใจไทย
"DITP" เชิญสื่อนานาชาติร่วมสัมผัสศักยภาพสินค้าไทย ในงาน "STYLE Bangkok 2025" ที่ศูนย์สิริกิติ์ ดันสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก
ทริสเรทติ้งประเมินเหตุการณ์แผ่นดินไหวไม่กระทบ คงอันดับเครดิตองค์กรสูงสุด ให้ ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ ทิพยประกันภัย

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น