ข่าวที่น่าสนใจ
ล่าสุด รายการสนธิทอล์ค ได้นำเสนอคลิปการพูดคุย แบบเอ๊กซ์คลูซีพ ระหว่างเจ๊อ้อย จตุพร อุบลเลิศ และคุณน้อย ปัทมพร แสงฤทธิ์ เลขาฯส่วนตัว กับทีมงานของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เกี่ยวกับปมเงิน 39 ล้านบาท โดยเจ๊อ้อย และเลขาฯส่วนตัว ยอมรับว่า หลงเชื่อกลอุบาย ที่นุและสา สองสามีภรรยา แจ้งว่าถูกแก๊งสแกรมเมอร์หลอกดูดเงินออกจากบัญชี อย่างสนิทใจ เพราะทนายตั้มได้ถ่ายรูปบันทึกประจำวัน ที่ได้ไปแจ้งไว้ที่ สน.บางซื่อ ส่งไลน์มาให้คุณน้อย จากนั้น นุและสา ได้ส่งไลน์มาให้เจ๊อ้อยอีกครั้ง จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และยอมโอนเงิน 39 ล้านให้ โดยไม่ติดใจ หรือระแคะระคายมาก่อน กระทั่งวันที่เข้าให้ปากคำกับตำรวจสอบสวนกลาง โดยพนักงานสอบสวนมีการดึงข้อมูลตรงนี้ออกมาและยืนยันว่า ไม่มีการดูดเงินจากบัญชีของสาลินีแต่อย่างใด
เจ๊อ้อย และพี่น้อย ยังบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ดึงข้อมูลจากไลน์ของนายนุออกมา แล้วยืนยันว่า ไม่ไม่การดูดเงินออกจากบัญชีของสาลินี ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดเนื่องจากข้อมูลการโอนเงินตามที่ระบุในการแจ้งความทั้ง 7 ครั้ง รวมกว่า 2 ล้านบาท พบว่ามีการโอนสำเร็จเพียงครั้งเดียว เป็นเงินจากบัญชีส่วนตัวของนายนุ โดยเป็นการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของแก๊งมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างเป็น เฉินคุณ ดาราจีน และพี่น้อยได้โอนเงินกว่า 2 ล้าน คืนให้ทนายตั้ม ซึ่งเป็นผู้ประสานงาน
พี่น้อย ยังเล่าด้วยว่า คนขับรถของทนายตั้ม ที่ชื่อนายเล็ก ได้ติดต่อมาหา พร้อมแจ้งว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสอบ และได้ให้การหมดแล้ว พร้อมเล่าให้ฟังว่า ตนเองและดาว พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ไปขนเงิน 20 ล้านที่เบิกออกจากบัญชีธนาคารกรุงศรีฯ สาขาลาดพร้าว โดยนำใส่กระเป๋า หลังจากนั้น ตนก็ไม่อยากคุยต่อ เพราะเสียความรู้สึก และโกรธที่ถูกหลอก เพราะคนขับรถคนนี้ ทั้งพี่อ้อยและพี่น้อย ต่างก็ให้ความรักความเอ็นดู ให้เข้านอกออกในบ้านตามสะดวก พี่น้อยยังเล่าต่อว่า นายเล็กได้บอกว่าขนเงินจำนวนดังกล่าวไปยังบ้านเก่าของทนายตั้ม ที่พุทธมณฑลสาย 4 ส่วนเงินที่เหลืออีก 19 ล้าน จะถูกโยกย้ายไปทางใด ตนก็ไม่ได้สอบถาม เพราะรู้สึกไม่ดี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เจ๊อ้อย ยังได้พูดถึงเรื่องพินัยกรรมที่ทนายตั้ม เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งมีทั้งหมด 2 ฉบับ โดยเรื่องราวได้เกิดขึ้นราวๆ กลางปี 66 อีกทั้ง ทางทนายตั้ม ยังเป็นคนต้นคิด ให้ลูกคนเล็กของตนเอง เป็นลูกบุญธรรมเจ๊อ้อย แต่ด้วยกฎหมายของฝรั่งเศส การที่จะรับบุตรบุญธรรมนั้น ต้องให้ลูกของเจ๊อ้อย เซ็นยอมรับด้วย แต่ลูกเจ๊อ้อยไม่ยินยอม
ส่วนเหตุผลที่เลิกจ้างทนายตั้ม เพราะว่าทนายตั้ม และครอบครัว ใช้เงินเจ๊อ้อยเที่ยวต่างประเทศหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์ นิวยอร์ก โดยการเที่ยวแต่ละครั้ง ก็มากกว่าค่าจ้าง เป็นเงินราว 3-4 ล้านบาท ส่วนกรณีที่ทนายตั้ม ชวนเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อจะพาไปรู้จักคนใหญ่โตในแวดวงการเมือง ก็ปฏิเสธ เพราะไม่อยากเที่ยวแบบลำบาก ตอนนั้นยอมรับว่า ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องของการถูกลอบสังหารแต่อย่างใด แต่พอมาตอนนี้นึกแล้วก็รู้สึกกลัว นอกจากนี้ เรื่องที่ทนายตั้ม ติดจีพีเอสที่รถยนต์ของเจ๊อ้อย ทางศูนย์ยืนยันว่า มีการดูล่าสุดในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นชื่อของภรรยาทนายตั้มที่ล็อคอินเข้าเช็คตำแหน่ง ซึ่งในเรื่องนี้ทางตำรวจกำลังตรวจสอบเพิ่มเติมอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
