“สภาพัฒน์” สรุปไตรมาส 3/67 หนี้สินครัวเรือนลดลง ว่างงานพุ่ง 4.1 แสนคน จับตา NPL สูงขึ้น 12.2%

"สภาพัฒน์" สรุปไตรมาส 3/67 หนี้สินครัวเรือนลดลง ว่างงานพุ่ง 4.1 แสนคน จับตา NPL สูงขึ้น 12.2%

“สภาพัฒน์” สรุปไตรมาส 3/67 หนี้สินครัวเรือนลดลง ว่างงานพุ่ง 4.1 แสนคน จับตา NPL สูงขึ้น 12.2%

 

ข่าวที่น่าสนใจ

25 พ.ย. 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2567 ว่า ในช่วงไตรมาส 3/2567 มีผู้มีงานทำ 40 ล้านคน ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมลดลง 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัว 1.4%

 

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบจำนวนผู้มีงานทำในช่วงไตรมาส 3/2567 และไตรมาส 2/2567 ที่มีจำนวนผู้มีงานทำ 39.5 ล้านคน พบว่าจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้น 5 แสนคน

 

“แรงงานที่เคลื่อนย้ายจากภาคเกษตรมาสู่นอกภาคเกษตรนั้น จะเข้าไปสู่ภาคโรงแรม/ภัตตาคาร และภาคการขนส่ง/เก็บสินค้า มากที่สุด โดยในภาคโรงแรมฯ มีแรงงานเพิ่มขึ้น 6.1% และภาคการขนส่งฯ มีแรงงานเพิ่มขึ้น 14% ซึ่งถ้าไปดูข้อมูลย้อนหลัง จะเห็นว่าแรงงานที่เคลื่อนย้ายจากภาคเกษตรไปสู่นอกภาคเกษตร มีการเคลื่อนย้ายออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา”

 

สำหรับชั่วโมงการทำงานของแรงงานในช่วงไตรมาส 3/2567 โดยรวมเพิ่มขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานในภาพรวมอยู่ที่ 43.3 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 2.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนชั่วโมงการทำงานในภาคเอกชนอยู่ที่ 47.4 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 2.8% ขณะที่ผู้ทำงานล่วงเวลามีจำนวน 6.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และผู้เสมือนว่างงานมีจำนวน 1.6 ล้านคน ลดลง 32.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

ด้านค่าจ้างแรงงาน ในช่วงไตรมาส 3/2567 ปรับเพิ่มขึ้นทั้งภาครวมและภาคเอกชน โดยค่าจ้างแรงงานในภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 14,522 บาท/คน/เดือน เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าจ้างแรงงานในภาพรวม (จัดเก็บข้อมูลแบบเดิม) เฉลี่ยอยู่ที่ 15,718 บาท/คน/เดือน เพิ่มขึ้น 1.8% และค่าจ้างแรงงานในภาพรวมทั้งหมด (รวมกลุ่มแรงงานอิสระ) เฉลี่ยอยู่ที่ 16,007 บาท/คน/เดือน

ส่วนการว่างงานในช่วงไตรมาส 3/2567 มีจำนวนผู้ว่างงาน 4.1 แสนคน เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.02% โดยกลุ่มอุดมศึกษายังคงเป็นกลุ่มที่มีการว่างงานที่สูง โดยกลุ่มนี้มีจำนวนผู้ว่างงาน 1.5 แสนคน ขณะที่ผู้ว่างงานระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป มีจำนวน 8.1 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 16.2% โดย 65% มีสาเหตุจาก ‘หางานไม่ได้’ และ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งในจำนวนนี้ 3 ใน 4 อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี

นายดนุชา ระบุว่า ประเด็นด้านแรงงานที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การส่งเสริมการปรับตัวของแรงงานในอุตสาหกรรมรูปแบบเดิมให้เป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 2.การเตรียมความพร้อมด้านทักษะแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจมีการจ้างงานใหม่ 1.7 แสนคน และ3.ผลกระทบต่อค่าครองชีพจากสถานการณ์อุทกภัยที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น

 

ส่วนสถานการณ์หนี้สินครัวเรือน จากข้อมูลล่าสุดในช่วงไตรมาส 2/2567 พบว่า หนี้สินครัวเรือนมีจำนวน 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 89.6% ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน (1/2567) ที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 90.7% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อยานยนต์

 

ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนในช่วงไตรมาส 2/2567 จากข้อมูลเครดิตบูโร พบว่า คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องและในทุกประเภทสินเชื่อ โดยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีจำนวน 9.6 ล้านบัญชี มูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้น จาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกวัตถุประสงค์

ทั้งนี้ หนี้ NPLs ที่เกิดขึ้นของครัวเรือนส่วนใหญ่ (71%) อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs)

 

 

เมื่อพิจารณาภาพรวมการขยายตัวของหนี้ NPLs ที่เพิ่มขึ้น 12.2% พบว่า มีสาเหตุการขยายตัว (Contribution to growth) มาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก โดย NPLs สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขยายตัว 29.7% ,NPLs สินเชื่อที่อยู่อาศัย ขยายตัว 23.2% ,NPLs สินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัว 21.5% , NPLs สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ขยายตัว 9.7% และ NPLs สินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัว 7.7% ขณะที่ NPLs สินเชื่อเพื่อการเกษตร หดตัว 33.9%

นอกจากนี้ หากพิจารณาสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 30-90 วัน (SMLs) พบว่า มีมูลค่าประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.66% ปรับลดลงจาก 4.72% ของไตรมาสก่อน (1/2567) แต่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังเป็นสินเชื่อประเภทเดียวที่มีสัดส่วนหนี้ SMLs ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น และปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลายไตรมาสแล้ว

นายดนุชา ระบุว่า ประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.แนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 2/2567 สัดส่วนสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลต่อหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 27.9% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 2.ความเสี่ยงจากการต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน โดยสถานการณ์หนี้นอกระบบปี 2566 มีมูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท และ 47.5% เป็นการก่อหนี้เพื่ออุปโภคฯ

3.การผิดนัดชำระหนี้บ้านมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดย ณ ไตรมาส 2/2567 มูลค่าหนี้เสียบ้าน ขยายตัว 23.2% และคิดเป็นสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวม 4.34% จากไตรมาส 1/2567 ที่มูลค่าหนี้เสียบ้าน ขยายตัว 18.2% และคิดเป็นสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวม 3.98% โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีสัดส่วนหนี้เสียสูง เมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินอื่น และ4.ผลกระทบจากอุทกภัยต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน

“สินเชื่อที่มีการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความตึงตัวในเรื่องรายได้ และฐานะการเงินของครัวเรือนที่มีความตึงตัว ทำให้ต้องเลือกว่าจะผ่อนชำระอะไรก่อนหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เลือกจ่ายสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลก่อนที่จะมาจ่ายสินเชื่อบ้าน จึงทำให้การผิดนัดฯสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น” นายดนุชา กล่าว

 

นายดนุชา กล่าวถึงแนวโน้มหนี้สินครัวเรือน ว่า ในช่วงที่ผ่านมา จำนวนหนี้สินครัวเรือนปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบไตรมาส 2/2567 กับไตรมาส 1/2567 จำนวนหนี้ครัวเรือนลดลง 0.1% และหากแนวโน้มหนี้ครัวเรือนยังชะลอตัวต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2567 ขยายตัวดีขึ้น จะทำให้สถานการณ์สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่อง แต่คงมีมาตรการต่างๆเข้าไปช่วยเหลือ โดยเฉพาะหนี้บ้าน หนี้รถ และหนี้ธุรกิจ

“ส่วนเรื่องการลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) คงต้องรอการแถลงข่าวอีกทีหนึ่ง เพราะเรื่องนี้จะผูกพันกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การลดเงินนำส่งฯ แน่นอนว่าจะทำให้การชำระหนี้ FIDF ใช้เวลานานขึ้น แต่จะเป็นการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ โดยไม่ทำให้เกิดภาระงบประมาณ และตรงนี้ก็จะเอาใช้ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะถัดไป ส่วนมาตรการจะเป็นอย่างไร ยังอยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบ” นายดนุชา กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

รวบผู้ต้องหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามหมายจับ ปลอมเป็นคนอื่น จับได้กลางถนน
สหรัฐร่างแผนฉุกเฉินปกป้องไต้หวันหากจีนโจมตี
กองปราบฯส่งจนท.เข้าสอบ ‘บอสดิไอคอน’ปมคลิปเสียงฉาว จ่อแจ้งข้อหา‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’
ศาลอาญาฯ รับฝากขัง เมีย-ลูก "หมอบุญ" นำตัวเข้าเรือนจำ
กกพ.จับมือ 4 หน่วยงานกระชับพื้นที่ ลงนามบันทึกความเข้าใจ ผู้ป่วยติดเตียงต้องไม่ถูกตัดไฟ
"ทนายสายหยุด" ประกาศยุติบทบาทการเป็นทนายคดี “ทนายตั้ม” คงสัมพันธ์แค่เพื่อน
ท็อปนิวส์ร่วมยินดี "ยุพา" รับตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ พร้อมนำความรู้ความสามารถ ขับเคลื่อนงานอย่างเต็มกำลัง
ระทึก! ไฟไหม้ ‘เครื่องบินรัสเซีย’ กลางรันเวย์ในตุรกี
“บิ๊กเต่า” ลั่น เตรียม “กุญแจมือ” เป็นของขวัญเหล่าอินฟลูฯ
ผู้นำสูงสุดอิหร่านชี้เนทันยาฮูควรโดนโทษประหาร

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น