ต่อมา ร.ต.อ.ชม จึงได้โทรศัพท์ติดต่อ น.ส.จินตนา มาที่โรงพัก เนื่องจาก น.ส.ประกาย ผู้ทำสิ่งของสูญหายมีความประสงค์จะมอบเงิน 5,000 บาท เพื่อเป็นสินน้ำใจในการทำความดี และร่วมกันตรวจนับทรัพย์สินในกระเป๋า พบว่า มีบัตรเอทีเอ็ม พร้อมสร้อยคอทองคำและสร้อยคอมือทองคำ 2 เส้น น้ำหนักเส้นละ 1 บาท ราคาเส้นละ 43,000 บาท เป็นเงิน 86,000 บาท และเงินสด 63,030 บาท รวม 149,030 บาท ก่อนที่พลเมืองรายนี้จะส่งมอบกระเป๋าคืน ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และมอบสินน้ำใจให้ไป

น.ส.ประกาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนขับรถยนต์กลับจากไปส่งพี่สาวขึ้นเครื่องที่สนามบินนครพนม ซึ่งพี่สาวจะเดินทางต่อกลับไปทำงานที่ประเทศโปรตุเกส ขณะมาจอดรถหน้าศาลหลักเมืองนครพนม เพื่อเดินเข้าไปในงานแสดงสินค้าภายในศาลากลางจังหวัด ขากลับพบว่ากระเป๋าหล่นหาย แต่ไม่รู้ว่าหายตรงไหน จึงขับรถกลับบ้านรื้อหาในบ้าน ไปตระเวนหาที่สนามบินและภายในงานแสดงสินค้าก็ไม่พบ โดยเงินจำนวนนี้พี่สาวฝากไว้ให้ค่างวดรถ 12,000 บาท ที่เหลืออีก 50,000 กว่าบาทให้เก็บไว้ดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ ส่วนสร้อยคอทองคำ 2 เส้นเป็นของตนที่เก็บหอมรอมริบซื้อมาแต่ไม่ได้สวมใส่ แม่ตนบอกถึงคราวฟาดเคราะห์แล้ว กระทั่งมีพลเมืองดีนำมาคืน จึงโผสวมกอดด้วยความดีใจ พร้อมทั้งมอบสินน้ำใจให้ไป 5,000 บาท

น.ส.จินตนา พลเมืองดี กล่าวว่า ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์รับยาจ่ายยาที่คลินิกหมอฐิตา ถนนอภิบาลบัญชา ช่วงเช้าหลังใส่บาตรวันครบรอบวันเกิด 35 ปี วันที่ 1 ธ.ค. 67 ก่อนเข้าทำงานจึงเดินทางมาไหว้ศาลหลักเมืองพร้อมกับครอบครัวเพื่อเป็นสิริมงคลให้ชีวิต และจะแวะไปเที่ยวงานภายในศาลากลางจังหวัด พอเปิดประตูลงจากรถยนต์เหลือบไปพบเห็นกระเป๋าใส่เงินสีม่วง เปิดออกดู พร้อมกันกับแม่ ที่อยู่ด้วยกันพบว่ามีทอง 2 เส้น บัตรเอทีเอ็ม และเงินสดจำนวนดังกล่าว ไม่เคยจะคิดเอาสิ่งของคนอื่นเพราะเกรงว่าจะเป็นเงินที่ เจ้าของอาจจะต้องนำไปใช้หนี้ หากไม่มี คงต้องเดือดร้อนแน่ๆ นึกได้เช่นนั้นตนจึงนำไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้นัดให้มาส่งมอบสิ่งของมีค่าคืนแก่เจ้าของในที่สุดในเวลาแค่ 1 ชั่วโมงหลังทำหาย