“ขอเรียนว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธารและกระทรวงการต่างประเทศ มีความประสงค์อย่างแรงกล้า และรับปากว่าเราจะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เราจะให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนชาวไทย และจะพยายามอย่างยิ่งดำเนินการทุกวิถีทางในทุกระดับและทุก ๆ ช่องทางที่เราจะนำเอาลูกเรือไทยทั้งหมด 4 คนเดินทางกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด” นายมาริษ กล่าว

ในส่วนของ TBC ระนอง ได้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา จังหวัดระนอง และทำหนังสือด่วน ต่อ TBC เกาะสอง ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา-ไทย จังหวัดเกาะสอง ว่า ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา จังหวัดระนอง ได้รับแจ้งจากศูนย์ประสานงานประมงทางทะเลไทย-เมียนมา ว่าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เวลา 00.20 นาฬิกา (ตามเวลาประเทศไทย) มีเรือดัดแปลงติดอาวุธของทหารเมียนมา เข้าทำการใช้อาวุธต่อเรือประมงไทย เรือติดอาวุธของเมียนมาไม่ทราบหมายเลข จำนวน 3 ลำ แล่นเข้าหากลุ่มเรือประมงไทยขณะวางอวนจับปลาในเขตน้ำของประเทศไทย ห่างจากทิศตะวันตกของเกาะพยาม ประมาณ 12 ไมล์ทะเล ประมาณพิกัด ละติจุด 09 09 องศา 45 ลิปดาเหนือ ลองติจุด 98 องศา 17 องศาตะวันออก และมีการใช้อาวุธต่อกลุ่มเรือประมงไทยในการที่จะควบคุมและยึดเรือ

โดยกลุ่มเรือประมงไทย ได้พยายามเร่งเครื่องยนต์เรือและตัดอวนเพื่อหลบหนี  มีเรือประมงไทยได้รับผลกระทบ จำนวน 3 ลำ และเรือติดอาวุธของทหารเมียนมาได้ดำเนินการควบคุบคุมเรือประมงเข้าไปในเขตน่านน้ำของประเทศเมียนมา จำนวน 2 ลำ คือ เรือดวงทวีผล 333 และเรือ ส.เจริญชัย 8  โดยเรือดวงทวีผล 333 ถูกเรือตัดแปลงติดอาวุธของทหารเมียนมาใช้อาวุธยิง ลูกเรือเสียชีวิต จำนวน 1 คน และเรือ ส.เจริญชัย 8 มีลูกเรือ จำนวน 31 คน เป็นคนสัญชาติไทย จำนวน 4 คน และคนสัญชาติเมียนมา จำนวน 27 คน ได้ถูกเรือติดอาวุธของทหารเมียนมา ควบคุมเข้าไปที่เกาะย่านเชือก

การกระทำเช่นนี้ ทางคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดระนอง ถือว่าเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการละเมิดอธิบไตยของฝ่ายไทยอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงในเรื่องการปฏิบัติในพื้นที่ทับช้อนของทั้งสองฝ่าย

ทางประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา จังหวัดระนอง จึงได้ส่งหนังสือฉบับนี้มายังประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา-ไทย จังหวัดเกาะสอง ช่วยให้ปล่อยตัวลูกเรือ สัญชาติไทยทั้ง 4 คน พร้อมเรือประมงดังกล่าว (เรือดวงทวีผล 333 และเรือ ส.เจริญชัย 8) กลับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้เพื่อความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างสองประเทศสืบไป