ได้เวลาจัดการ “บ่อร้าง” จริงจังแล้ว

ได้เวลาจัดการ "บ่อร้าง" จริงจังแล้ว

เมื่อวันก่อนมีการลงนาม MOU ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหา เพื่อขจัดภัยจากการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำระยะเร่งด่วน ระหว่าง กรมประมง การยางแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร ในการร่วมดำเนินงานแบบบูรณาการ ทั้งในด้านการบริหารจัดการ ด้านวิชาการ และการปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำปลาหมอคางดำที่จับออกจากธรรมชาติ โดยนำไปกำจัดด้วยกรรมวิธีที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้ เพื่อรองรับและสนับสนุนภารกิจต่างๆ ที่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หลักเกณฑ์การปฏิบัติของทุกหน่วยงาน เรียกว่าเป็น Big Cleaning ที่มุ่งขจัดปลาหมอคางดำ 3 ล้านกิโลกรัม ภายใต้งบประมาณ 60 ล้านบาท เพื่อให้ปลาหมอคางดำหมดไปจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร

ข่าวที่น่าสนใจ

งบประมาณ 60 ล้านบาทจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญให้กรมประมงและทุกภาคส่วนบูรณาการความร่วมมือกำจัดปลาหมอคางดำได้ถึง 3 ล้านกิโลกรัมตามเป้าประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงมือจัดการกับ “บ่อร้าง” ทั้งบ่อกุ้งบ่อปลา ที่เกษตรกรปล่อยทิ้ง ไม่ได้เลี้ยงสัตว์น้ำใดๆ จนมีปลาหมอคางดำมาอาศัยน้ำนิ่งในบ่อร้างเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และเจริญเติบโต

บ่อร้าง จึงเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้มาตรการกำจัดปลาหมอคางดำล้มเหลว ซึ่งกลายเป็นหัวข้อที่เกษตรกรในหลายจังหวัดเอ่ยถึง และฝากความหวังให้กรมประมงเร่งดำเนินการจัดการเสียให้สิ้น ซึ่งต้องรอดูวิธีการปฏิบัติอีกทีว่ารัฐจะจัดการออกมาในรูปแบบใด

อาจใช้วิธีป้องปรามก่อน โดยเจ้าของบ่อร้างต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ประมงที่เข้าทำการตรวจสอบ หรืออาจแจ้งโดยตรงที่ประมงอำเภอ/จังหวัดถึงจำนวนบ่อร้างที่ตนมี เพื่อให้รัฐเข้าดำเนินการจับปลาออกโดยเร็ว จากนั้นรัฐจะเข้าทำการจับปลาและนำปลาไปใช้ประโยชน์ เช่น ส่งกรมพัฒนาที่ดินทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือส่งมอบให้กรมราชทัณฑ์ กรณีที่ส่งผู้ต้องขังลงมือจับปลา เนื่องจากเจ้าของบ่อไม่ใช่เจ้าของปลาหมอคางดำและจำเป็นต้องกำจัดออกจากบ่อของตนโดยเร็วที่สุด วิธีการนี้จึงเป็นไปในรูปแบบ Win-Win เจ้าของบ่อจะได้ประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องจ้างแรงงานมาจับปลา ขณะที่ผู้จับซึ่งก็คือรัฐสามารถนำปลาไปใช้ประโยชน์ตามมาตรการที่วางไว้ได้เลย ขณะเดียวกันรัฐควรให้ความรู้ในการเตรียมบ่อ รวมถึงแจกจ่าย “กากชา” เพื่อให้เจ้าของบ่อร้างใช้ในการกำจัดปลาหมอคางดำให้หมดก่อนทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่อไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นกำหนดขอบเขตระยะเวลาให้เจ้าของบ่อร้างได้แจ้งเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ถึงคราวต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นมิให้มีปลาหมอคางดำหลงเหลือในบ่อร้าง เพื่อลดความเสี่ยงที่ปลาจะหลุดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้อีก โดยรัฐควรกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบ ความถี่ในการติดตาม ตลอดจนบทลงโทษที่เด็ดขาดชัดเจน

เป้าหมายในการกำจัดปลาหมอคางดำให้เป็นศูนย์อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การจำกัดจำนวนประชากรของมันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพนั้น เป็นไปได้แน่นอน ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง จริงใจและต่อเนื่อง ภายใต้ “แรงจูงใจ” ทั้งในรูปแบบงบประมาณ ผลประโยชน์ และตัวบทกฎหมาย

โดย ปิยะ นทีสุดา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เหมืองหยกถล่มในเมียนมา กู้ร่างผู้เสียชีวิต 12 รายแล้ว
คาดสนามบิน ‘ปักกิ่ง’จีน รับผู้โดยสารช่วงตรุษจีน 6.1 ล้านคน
"ภูมิธรรม" ต้อนรับ ออท.สาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย กระชับสัมพันธ์ 60 ปี
เปิดตัวเลข ถ้า "มหาดไทย" เพิกถอนสิทธิที่ดิน "อัลไพน์" กระทบ ชาวบ้านซื้อบ้าน-ที่ดินมูลค่ากว่า 5 พันล้าน
ว่าที่รมว.กลาโหมสหรัฐถูกสว.ลูกครึ่งไทยอบรมวิชา”อาเซียน”
"แพทยสภา" เผยรพ.ตร.ทยอยส่งเอกสารรักษา "ทักษิณ" ชั้น 14 นัดพรุ่งนี้ ลงมือเช็กครบหรือไม่ ถ้าไม่เคลียร์พร้อมเรียกสอบ
"ศาลชุมพร" รับฟ้อง คดีสาวซิ่ง BMW ชนแม่ลูกดับ 3 ศพ โดน 6 ข้อหาหนัก พ่อเหยื่อเล่านาทีเผชิญหน้า ไม่มีท่าทีสลด
พิธีเปิดนิทรรศการโครงการพัฒนาศักยภาพศิลปินรุ่นใหม่ ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล Young Artists Talent #16 จำนวนทั้งสิ้น 5 รางวัล
JINNY ดึง ‘จอง-คัลแลน’ เข้าด้อมเจ้าเหมียว ตอบโจทย์แนวคิด 'รักแมวในแบบที่เป็น' เข้าใจทุกความแตกต่าง
"ภูมิธรรม" โต้ฝ่ายค้านอย่าจินตนาการ ทุนสีเทาร่วม "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" แจงกาสิโนมีแค่ 10 %

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น