วันที่ 29 ก.ย. -นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงสายวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิ เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยเนื่องจากอิทธิพลพายุเตี้ยนหมู่ ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน เนื่องจากมวลน้ำป่าไหลหลากมาจากเทือกเขาภูแลนคา และน้ำล้นตลิ่งจากมวลน้ำจากลำแม่น้ำชี ส่งผลให้น้ำหนุนเข้าในพื้นที่ 16 อำเภอ และได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมแล้ว ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรับฟังรายงานสรุปจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ พร้อมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย อ.เมืองชัยภูมิ ณ ตลาดสดเทศบาลเมือง และจะเดินทางต่อ เพื่อไปให้กำลังใจบุคลากรโรงพยาบาลและมอบสิ่งของที่จำเป็นให้แก่โรงพยาบาลชัยภูมิ
จากนั้น จะรับฟังรายงานจากนายอำเภอจตุรัสและผู้อำนวยการโครงการชลประทานจังหวัดชัยภูมิ เพื่อเร่งการระบายน้ำ และเตรียมแผนป้องกันหากยังมีฝนตกต่อเนื่อง พร้อมมอบถุงยังชีพให้ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอำเภอจตุรัส ขณะนี้มีน้ำท่วมขังและระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร และไหลท่วมเข้ามายังพื้นที่เศรษฐกิจบางส่วนแล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้บูรณาการแผนบริหารจัดการน้ำวโดยการทำงานอย่างต่อเนื่องซึ่งได้มีมติครม. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 กำหนด 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 เพื่อทุกส่วนราชการทุกระดับได้เตรียมความพร้อมในการรับมือและป้องกัน เพื่อลดความเสียหายจากการเกิดภัยพิบัติในฤดูฝนนี้ สถานการณ์น้ำขณะนี้ยังแตกต่างจากอดีต โดยเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยืนยันว่าขณะนี้ น้ำบริเวณตอนบนของประเทศอยู่ในระดับต่ำน้อยกว่าร้อยละ 50 ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัยขณะนี้เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ตกเกิน 90 มิลลิเมตร/วัน พ้องกับระดับน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงสิ้นเดือนกันยายนเท่านั้น ซึ่งในช่วง 5 – 10 วันข้างหน้ายังไม่ปรากฎสัญญาณการเกิดพายุ ดังนั้นจะทำให้ฝนจะตกห่างออกไป น้ำที่ยังท่วมขังจะสามารถระบายออกไปได้
นอกจากนี้กรมชลประทานได้ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำ พร่องน้ำและบริหารพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแก้มลิงหน่วงน้ำ เร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อรองรับน้ำจา กพื้นที่ตอนบนที่กำลังจะมาถึง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม สื่อสารกับประชาชนให้ทราบถึงสถานการณ์น้ำปัจจุบัน รวมทั้งเร่งระบายน้ำโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนนานกว่านี้