กรมส่งเสริมสหกรณ์ชี้แจงข้อกังวลของสหกรณ์เกี่ยวกับประกาศกฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ.2567 เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการลงทุนของสหกรณ์ไม่ให้ขาดทุนหนัก พร้อมเปิดโอกาสในการจัดทำแผนปรับสัดส่วนการลงทุนได้ถึง 10 ปี ตามที่ได้มีการประกาศกฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิต ยูเนี่ยน พ.ศ.2567 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลเกี่ยวกับการดำเนินงานและการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ตามมาตรา 89/2 (8) เกี่ยวกับเรื่องการฝากเงินและการลงทุน สำหรับสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์มีสภาพคล่องทางการเงินสูง และมีการลงทุนตามมาตรา 62 ซึ่งสหกรณ์บางแห่งเกิดข้อกังวลว่า การออกกฎกระทรวงในครั้งนี้มีข้อจำกัดในเรื่องเกณฑ์การกระจุกตัวที่ให้ฝากหรือลงทุนนิติบุคคลต่อแห่งได้ไม่เกิน 10% ของทุนเรือนหุ้น+ทุนสำรองของสหกรณนั้นๆ รวมถึงข้อจำกัดที่ให้ลงทุนได้ไม่เกินทุนเรือนหุ้น+ทุนสำรอง จะทำให้สหกรณ์เกิดผลกระทบในการบริหารจัดการสภาพคล่องส่วนเกิน เช่น อาจต้องลดดอกเบี้ยเงินฝากลงหรือจะทำให้เงินทุนของสหกรณ์ลดลง สมาชิกโยกย้ายเงินฝากจากสหกรณ์ไปฝากหรือลงทุนอย่างอื่น ทำให้เงินไหลออกไปจากระบบสหกรณ์จนกระทั่งเกิดผลกระทบต่อสินทรัพย์ในภาพรวมของระบบสหกรณ์นั้น
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า “สหกรณ์ออมทรัพย์หลายแห่งซึ่งมีเงินเหลือ (Surplus) จากการทำธุรกิจกับสมาชิกควรมีทางใช้ไปของเงินที่ก่อประโยชน์ตอบแทนที่สมเหตุสมผล วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสหกรณ์มิได้เป็นไปเพื่อแสวงหาผลกำไรมาแบ่งปัน การลงทุนของสหกรณ์จึงเป็นเพียงการบริหารสภาพคล่องคงเหลือจากการดำเนินธุรกิจกับสมาชิกและเครือข่ายสหกรณ์เพื่อให้เกิดประโยชน์จากภาระต้นทุนทางการเงินของสหกรณ์เท่านั้น อีกทั้ง การลงทุนในตลาดทุนมีความเสี่ยงและความผันผวนซึ่งอาจส่งผลกระทบกับเงินของสหกรณ์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกสหกรณ์จึงจำเป็นต้องออกข้อกำหนดมากำกับดูแล
อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ได้กำหนดบทเฉพาะกาลไว้ 2 กรณี กรณีที่ 1 สหกรณ์ที่ฝากเงิน หรือลงทุนในนิติบุคคลต่อแห่งเกิน 10 % สามารถจัดทำแผนเพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนได้ภายใน 5 ปี ในช่วงแรกของการปรับตัว อาจยังกำหนดแผนให้มีการซื้อเข้าขายออกได้ตามปกติ แต่ต้องไม่เกินยอดเดิมของนิติบุคคลนั้น กรณีที่ 2 สหกรณ์ที่ลงทุนเกินกว่าทุนเรือนหุ้น+ทุนสำรอง จะมีวิธีการให้เวลาในการปรับตัวในลักษณะเดียวกันกับกรณีที่ 1 ได้ภายใน 10 ปี และสหกรณ์สามารถเพิ่มทุนเรือนหุ้นได้ทุกเดือน อีกทั้ง เมื่อครบกำหนดสหกรณ์ดำเนินการตามกฎกระทรวงนี้ไปแล้วภายในระยะเวลา 5 ปี กรมส่งเสริมสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำผลการดำเนินการ และผลกระทบมาพิจารณาว่าสมควรทบทวนหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์อีกครั้งหรือไม่“ นายวิศิษฐ์กล่าวเพิ่มเติม