‘บิ๊กจ๋อ’นำทีมชุดสืบบชน. บุกรวบหัวโจกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน กลางกรุง

‘บิ๊กจ๋อ’ นำทีมชุดสืบบชน. บุกรวบ 2 หนุ่มสาวชาวจีน หัวโจก ขบวนการ call center กลางกรุง ยึด 8 ซิมบ็อกซ์ ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณ ลวงเหยื่อ พบปรับเปลี่ยนรูปแบบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งย้ายฐานส่งสัญญาณไปสิงคโปร์และมีการซุกซ่อนวิมการ์ดไว้ในต่างประเทศเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวคนจดทะเบียน

‘บิ๊กจ๋อ’นำทีมชุดสืบบชน. บุกรวบหัวโจกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน กลางกรุง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่อาคาร 1 พนาสินเพลส ภายในซอยรามคำแหง 24/3 พื้นที่รับผิดชอบ สน.หัวหมาก พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) พร้อมพล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ผบก.สส.บช.น) และชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. , นำหมายค้นศาลอาญาที่ 1170/2567 ลงวันที่ 24 ธ.ค. 2567 เข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ 2116/101 ชั้น 5 อาคาร 1 พนาสินเพลส ซอยรามคำแหง 24/3 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ

 

จากการตรวจค้นพบเป็น อพาร์ตเม้นให้เช่า สูง 7 ชั้น ปลูกติดกันหลายอาคาร โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการ จับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 2 ราย คือนาย หมิง หง ตัน อายุ 19 ปี พร้อมแฟนสาว และตรวจยึดของกลาง อาทิ อุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ 8 ชุด, เราต์เตอร์ อินเทอร์เน็ต 2 ตัว, สวิตช์ฮับ 1 ตัว, กล้องวงจรปิด 1 ตัว และอุปกรณ์สำรองไฟจำนวน 1 ตัว

 

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บช.น. ได้ทำการสืบสวนขยายผล จากคดีผู้เสียหายในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ลวงให้โอนเงิน 10,600 บาท ซึ่งอ้างว่าได้จากการกระทำผิดกฎหมายให้ตรวจสอบ โดยหลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้แจ้งความผ่าน ศูนย์ AOC 1441 หลังทราบข้อมูลเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงใช้เวลากว่า 30 วัน กระทั่งพบออฟฟิศสั่งการอยู่ย่านหัวหมาก จึงทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขอหมายค้นศาลเข้าตรวจสอบจับกุม ผู้ต้องหาพร้อมยึดของกลาง สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหา ปฏิเสธ ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับห้องดังกล่าว โดยตัวเองเข้ามาประเทศไทยในฐานะนักศึกษาและเป็นเพียงนายหน้ารับเช่าห้องพักในกรุงเทพฯ ให้คนจีน เท่านั้น

 

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจากผู้เสียหายที่ได้มีการแจ้งความทางออนไลน์ไว้กว่า 100 คดี จนพบการลักลอบใช้ซิมบล็อกนำมาใช้หลอกลวงคนไทยของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยใช้ห้องพักที่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้เป็นฐานในการส่งสัญญาณ มีซิมบล็อกทั้งหมด 8 ซิม ซึ่งหนึ่งบล็อกจะมี 32 ซิม รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ครั้งนี้พบวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างชัดเจน 2 วิธี คือ 1.สัญญาณที่ส่งมาใช้ซิมบล็อกไม่ได้มาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านในกัมพูชา เมียนมาร์ หรือลาว แต่มาจากสิงคโปร์ เพื่อไม่ให้ตำรวจเช็คที่มาของสัญญาณได้ หลังจากนี้จะขยายผลหาจุดที่แท้จริงของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเดิมเชื่อว่าอยู่ในจุดเดิม ที่เคยจับกุมได้ 2.ซิมบล็อกที่ได้มาในครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่พบซิมการ์ดเลย โดยซิมอยู่ในต่างประเทศทั้งหมดเป็นการเลี่ยงไม่ให้ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ที่ลงทะเบียนซิมรวมถึงผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตำรวจจะสามารถขยายผลได้

 

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า การดำเนินคดีสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คนเป็นผู้ดูแลอุปกรณ์ซิมบล็อก และผู้ทำสัญญาเช่า เข้าประเทศไทยมา 2-3 เดือน จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาใช้ชื่อเปิดห้องพักอีกหลายพื้นที่ โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ทั้งนี้พยานหลักฐานของตำรวจค่อนข้างชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องเข้ามาดูแลซิมบล็อก ซึ่งมีการขยายผลตรวจค้นอีก 14 จุด ขณะที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่าภายในห้องพัก มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ตำรวจ บก.สส.บช.น. อยู่ระหว่างทำการตรวจสอบเพิ่มเติม

จากการสืบสวนการกระทำดังกล่าวของกลุ่มคนร้าย มีการใช้เครื่องมือซิมบล็อกเป็นตัวกลางในการโทรศัพท์มาจากต่างประเทศผ่านเครื่องซิมบล็อกเพื่อให้หมายเลขโทรศัพท์ ที่ปรากฎบนเครื่องโทรศัพท์มือถือของเหยื่อหรือผู้เสียหายเป็นหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทย ส่วนการดำเนินการกับผู้ที่เปิดซิม ทางตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผล ซึ่งจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ขายซิมและผู้ที่ลงทะเบียนให้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไปขายซิมให้กับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะต้องถูกจับกุมฐานตัวการหรือร่วมสนับสนุนขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

 

ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน มี ใช้ นำเข้า นำออกหรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตาม ม.6 พรบ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตาม ม.11 พรบ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 3 ตาม ม.67(3) พรบ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองรายเจ้าหน้าที่คุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

บขส.จัดรถโดยสารกว่า 4,800 เที่ยว รถเสริมอีก 1 พันคัน รองรับปชช.เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่
เซเลนสกี้เดือดรัสเซียระดมยิงวันคริสต์มาส
"นิพนธ์" ชี้ "กระจายอำนาจ" สร้างเข้มแข็งชุมชน สำคัญต่อการพัฒนาปท.ยั่งยืน นโยบายรัฐแจกๆไม่ใช่คำตอบ
"รมว.สุดาวรรณ" ลงพื้นที่สกลนคร เป็นประธานกิจกรรมศาสนิกสัมพันธ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว
"นพดล" แถลง 6 ข้อ ปม MOU44 ย้ำชัดไทยไม่เสียดินแดน
ระทึก เพลิงไหม้รถบัสปลดระวางเสียหาย 9 คัน เร่งหาสาเหตุที่แท้จริง
“อนุทิน” เปิดศูนย์ป้องกันอุบัติเหตุปีใหม่ 2568 คุมเข้ม 10 วันอันตราย กำชับตำรวจใช้มาตรการกฎหมายเคร่งครัด
เปิดยอดผู้เสียชีวิต เหตุ 'เครื่องบินอาเซอร์ไบจาน' โหม่งโลก พบรอดตายปาฏิหาริย์เพียง 25 ราย
ศาลรธน.มติเอกฉันท์ ตีตก 2 คำร้อง ปมกกต.จัดเลือกตั้งสว.ปี 66 โดยมิชอบ
มิตรภาพกุศลจิต "อนุทิน" ขอบคุณ "หมอพัชร" เป็นสะพานบุญ โทรตามบินรับหัวใจ จากร้อยเอ็ดส่งกรุงฯ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น