พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ นายธงชาติ รัตนวิชา ที่ปรึกษาพรรคประชาชาติ นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ร่วมแถลงผลการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เป็นประธานการประชุม
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง กล่าวว่า ที่ประชุมวันนี้ได้มีการหารือใน 2 ประเด็นหลัก คือ ประเด็นที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติร่วมกัน เพื่อลงนามในหนังสือที่จะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนัดหมายยื่นพร้อมกันในวันจันทร์ที่ 4 ต.ค. เวลา 10.00 น. จำแนกเป็น 4 ชุด คือ 1 ยื่นเอาผิดคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ 2 ยื่นเอาผิดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 3 ยื่นเอาผิดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ 4 ยื่นเอาผิดนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ส่วนประเด็นที่จะยื่นเอาผิดนั้น อาทิ เรื่องการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ เรื่องการผูกขาดเอื้อประโยชน์เกี่ยวกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เรื่องการทุจริตการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค เรื่องส่อไปในทางทุจริตการจัดซื้อชุดตรวจ ATK เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนที่ไร้ประสิทธิภาพ รวมถึงเรื่องทุจริตเกี่ยวกับยางพารา เป็นต้น
นายประเสริฐ กล่าวว่า 2.กรณีวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 158 เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรี มีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจนานเกินไป และเป็นประเด็นในอนาคตอาจต้องมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 158 เขียนชัดว่า นายกฯจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ ฝ่ายค้านแทบจะไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแต่ประการใด เพราะชัดเจนในตัวมันเองแล้ว ถ้าตีความแบบฝ่ายค้านตีความ ต้องนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ในรัฐธรรมนูญยังระบุว่า ครม.ที่เป็น ครม.อยู่ก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งนี้ ในการยื่นร้อง ถ้าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ศาลก็คงจะไม่น่ารับไว้ เราจึงจะไม่ยื่นในขณะนี้ เพราะยื่นไว้คงไม่เกิดประโยชน์ เราจะพิจารณาเรื่องนี้เมื่อมีเหตุแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจน คนที่ตีความเป็นอย่างอื่นเป็นการทำลายกฎหมายสูงสุด ถ้าถึงเวลานายกรัฐมนตรี ต้องพิจารณาตนเอง ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และที่สำคัญคือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ
ขณะที่นายชัยธวัช กล่าวว่า คิดว่าประเด็นนี้อย่างน้อยต้องรอจากบทบัญญัติที่ยึดโยงกันอย่างน้อย 3 มาตรา คือมาตรา 158 ระบุไว้ชัดเจน ซึ่งคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทำเอกสารอธิบายความมุ่งหมายไว้ชัดเจนว่า เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป อันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤตทางการเมือง และหากเรายังปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจนานเท่าไหร่ก็จะเป็นปัญหาทางการเมือง จนเกิดวิกฤต
นายชัยธวัช กล่าวว่า มาตรา 170 ซึ่งมาตรานี้ระบุไว้ชัดเจนว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา (ตามมาตรา 158) และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ครม.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ก็ให้ถือเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย และ 2.หากเราดูบทเฉพาะกาลมาตรานี้จะมีการยกเว้นลักษณะต้องห้าม และเหตุที่ต้องพ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรี แต่ไม่มีมาตราไหนเลยที่จะยกเว้นมาตรา 170 เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้ และการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในตอนนี้โดยไม่จำเป็นจะเป็นการขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญมากเกินจำเป็น ทั้งนี้ หวังว่านายกรัฐมนตรีจะเคารพเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่ตัวเองและแม่น้ำหลาย ๆ สายยกร่างเอาไว้
เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่สามารถเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช่หรือไม่นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า หากนับการดำรงตำแหน่งเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2557 ก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้แล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เขาสามารถเสนอได้ ถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องตื่นรู้ว่าคุณเป็นรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน 7 ปีบ้านเมืองเราบอบช้ำมามากแล้ว ท่านบริหารประเทศมีแต่ความเหลื่อมล้ำ มีแต่กู้เงินไปใช้แล้วไม่มีอนาคตใช้หนี้ได้ และมีปัญหาสังคมมากมาย วันนี้ต้องเปิดโอกาสให้ผู้นำที่ประชาชนเลือกจะดีกว่า
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากฝ่ายรัฐบาลจะชิงยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของ นายกรัฐมนตรี นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นอำนาจของ กกต.และ ครม.ที่ใช้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญยื่นได้ เราตั้งข้อสังเกตว่าเขาชิงยื่นก่อน ซึ่งเป็นกลไกในการฟอกตัวนายกรัฐมนตรี หรือไม่ ถ้า กกต.ยื่นอาจจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ เพราะ กกต.จะทราบว่าหากจัดการเลือกตั้งจะมีปัญหาหรือไม่ ถ้าเป็น ครม.หรือ กกต.ภายใต้อาณัติยื่น อาจจะตีความว่าเป็นการฟอกตัวได้ เชื่อว่าถ้าหากมีการยื่นจริง มีแนวโน้มว่าศาลจะรับคำร้องไว้แน่ เพราะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว อาทิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. วินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา เป็นต้น
เมื่อถามว่า หากศาลตีความในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระแล้ว จะเกิดเดดล็อกทางการเมืองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ถ้ามีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นับตั้งแต่สิงหาคม 2558 และเมื่อมีการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งไปนั้น มันก็มีผลแน่นอนต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ถามว่าใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะ กกต.ที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติการเข้ามาสู่ตำแหน่ง บทบัญญัติกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องยื่นแต่อย่างใด เมื่อครบ 24 สิงหาคม 2565 มีเจตนารมณ์ดำรงตำแหน่งต่อ เราถึงจะมีหน้าที่ เพราะเราปกป้องรัฐธรรมนูญและประชาชน