ความคืบหน้าการสอบสวนคดีที่ นายชามซุด ดิน จับบาร์ อดีตทหารสหรัฐฯ วัย 42 ปี ก่อเหตุขับรถกระบะพุ่งชนผู้คนบนถนน เบอร์เบิ้น ย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 มกราคม เจ้าหน้าที่เอฟบีไอนิวออร์ลีนส์ เปิดเผยว่า ก่อนลงมือก่อเหตุ นายจับบาร์ เดินทางจากบ้านในรัฐเท็กซัส ไปที่เมืองนิวออร์ลีนส์ 2 รอบ ครั้งแรกช่วงปลายเดือนตุลาคม และใช้เวลาไม่กี่วันที่พักอยู่ที่นั่น ขี่จักรยานซอกแซกในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ และใช้แว่นตาเมตา (Meta) ซึ่งเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่บันทึกภาพหรือวิดีโอได้โดยไม่ต้องใช้มือจับ เก็บภาพถนนหนทาง
ต่อมา เดินทางไปที่นิวออร์ลีนส์อีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมรายละเอียดการเดินทางครั้งที่สองอยู่ ในวันก่อเหตุ จับบาร์สวมแว่นตาเช่นกัน แต่ไม่ได้เปิดใช้กล้อง
ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น (5 มกราคม) FBI เปิดคลิปวิดีโอที่นายจับบาร์บันทึกไว้ผ่านแว่นตาอัจฉริยะ ขณะขี่จักรยานช้า ๆ ในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์
จุดหนึ่งในคลิป แสดงให้เห็นนายจับบาร์กำลังยืนหน้ากระจก คาดว่าเขากำลังทดสอบการใช้งานแว่นตา นอกจากนี้ ยังมีคลิปจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นจับบาร์ เข็นกระติกไปวางบนถนนเบอร์เบิ้น โดยจุดแรก FBI บอกว่า มีคนเดินผ่านไปมา ที่ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร เข็นไปวางแอบไว้ที่อื่น
เวลาประมาณ 3 นาฬิกาของเช้าวันที่ 1 มกราคม จับบาร์ ขับรถกระบะด้วยความเร็วสูง พุ่งชนผู้คนบนถนนเบอร์เบิ้น ก่อนกราดยิง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 30 คน ก่อนที่รถของคนร้าย พุ่งชนกับรถฟอร์คลิฟต์ และถูกตำรวจวิสามัญระหว่างการยิงต่อสู้
เอฟบีไอ ระบุว่า จับบาร์ ซึ่งเป็นพลเมืองอเมริกันที่ประกาศสวามิภักดิ์กลุ่มไอเอส เคยเดินทางไปกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ 11 วัน ระหว่างวันที่ 22 มิถุนายนถึง 3 กรกฎาคม 2565 อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เดินทางไปจังหวัดออนตาริโอ ประเทศแคนาดา เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 10 -13 กรกฎาคม ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังพยายามสืบว่าเขาไปพบใครและไปทำอะไร
เอฟบีไอ ระบุด้วยว่า หากตำรวจนิวออร์ลีนไม่ได้ตอบสนองเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว จับบาร์อาจจุดชนวนระเบิดที่เขาซ่อนไว้ในคูลเลอร์ 2 จุดได้สำเร็จ และอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากกว่านี้ นอกจากนี้ ยังพบว่า เขามีปืนอีก 2 กระบอก เป็นปืนสั้น 9 มม. กับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ .038 และก่อนก่อเหตุ ราวเที่ยงคืน 15 นาที เขายังได้จุดไฟเผาห้องพัก คาดว่าเพื่อปกปิดหลักฐาน หรือเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่อีกด้วย