AFP และ BBC รายงานว่านางเออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการอียูได้พูดพาดพิงกรณีทรัมป์ประกาศถอดสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีส ระหว่างการกล่าวปราศรัยในที่ประชุมผู้นำเศรษฐกิจโลก ที่เมืองดาวอสในวันนี้ (อังคารที่ 21 มค.) ว่า “ข้อตกลงปารีสยังคงเป็นความหวังที่ดีที่สุดของมนุษยชน ดังนั้นยุโรปจะยังยึดมั่นอยู่กับข้อตกลงฉบับนี้ และจะยังคงร่วมมือกับทุกชาติในการปกป้องธรรมชาติและหยุดยั้งวิกฤตการณ์โลกร้อนต่อ“
ขณะที่นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนก็แถลงข่าวในวันนี้ว่าจีนรู้สึกวิตกที่สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่สอง และว่า “การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาท้าทายร่วมกันของประชาคมโลกและไม่มีประเทศไหนที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง”
หลายชาติโดยเฉพาะชาติสมาชิกอียูได้แสดงความวิตกแต่ยืนยันจะผลักดันข้อตกปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไปแม้สหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์จะถอนตัวเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกรัฐบาลทรัมป์ 1 ประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสในปี 2560 แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ยกเลิกคำสั่งทรัมป์ในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งในปี 2564
นอกจากนี้ทรัมป์ยังประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของไบเดน รวมทั้งประกาศยุติโครงการพลังงานลมตามแนวชายฝั่งทั้งหมด แต่จะเปลี่ยนมาขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแทน พร้อมประกาศจะเพิ่มการผลิตพลังงานฟอสซิล และจะส่งขายไปทั่วโลกเพื่อเพิ่มรายได้ให้สหรัฐ
ทรัมป์ลงนามคำสั่งถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสในวันแรกของการทำงาน โดยประณามข้อตกลงปารีสว่าเป็นแค่โครงการหลอกลวง ไม่สนองตอบความต้องการของชาวอเมริกัน พร้อมประกาศลั่นว่าสหรั้ฐจะไม่ยอมทำลายอุตสาหกรรมของตัวเอง ในขณะที่จีนสามารถสร้างมลพิษได้โดยไม่ถูกลงโทษ
ข้อตกลงปารีสเป็นข้อตกลงที่ไม่มีผลบังคับใช้ เป็นแค่ความร่วมมือของประชาคมโลกที่มุ่งแก้ปัญหาโลกร้อน โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้น