AFP และบลูมเบิร์กรายงานว่าระหว่างให้สัมภาษณ์กับฌอน แฮนิตี้ พิธีกรสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งออกอากาศไปเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (พฤหัสที่ 23 มค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐบอกกับแฮนิตี้ว่าเขาไม่อยากเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแล้ว แต่อาจจะใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองในเรื่องอื่นเช่นประเด็นไต้หวันและการค้า โดยทรัมป์คุยว่าสหรัฐมีอำนาจต่อรองเหนือจีน นั่นก็คือเรื่องกำแพงภาษี ซึ่งเรื่องนี้จีนกลัวมาก ดังนั้นเขาจะเก็บเอาไว้ต่อรองดีกว่า
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ทำทีเสียงแข็งขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง และหลังจากพิธีสาบานตนทรัมป์ก็ประกาศขู่อีกแต่คราวนี้ขู่จะเก็บ 10% บอกว่าอาจเริ่มบังคับใช้ 1 กุมภาพันธ์
ด้านเหมา หนิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนออกมาขานรับทันทีในวันนี้ (ศุกร์ที่ 24 มค.) โดยเรียกร้องสหรัฐและจีนหันมาเจรจาเพื่อแก้ปัญหาความแตกต่าง และว่าหากจีนและสหรัฐร่วมมือในด้านการค้าและเศรษฐกิจ ก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่หากทำสงครามการค้าก็จะพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งคู่ และไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยรวมทั้งประชาคมโลก
ด้านตลาดหุ้นเอเชียก็ขานรับทันทีเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนได้ทะยานขึ้นอย่างถ้วนหน้า โดยตลาดหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกงพุ่งขึ้นเกือบ 2% ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ขึ้น 0.7% และค่าเงินหยวนก็ขึ้นไป 0.6% แม้แต่ตลาดหุ้นไทยก็ปิดขึ้น 9.90 จุด
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บลูมเบิร์กชี้ว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนเรื่องคำพูดของทรัมป์ และก็ยังเชื่อไม่ค่อยได้ว่าทรัมป์จะไม่ตั้งกำแพงภาษีกับจีนจริง และว่าจีนและอีกหลายประเทศยังตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งจะต้องจับตาดูต่อไป