CNN และ BBC รายงานว่ากระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจและคัดค้านมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดจากจีนในอัตรา 10% ของสหรัฐ โดยชี้แจงสหรัฐกำลังละเมิดกฎกติกาขององค์การการค้าโลกหรือ WTO อย่างรุนแรง พร้อมขู่จะยื่นฟ้องไปยัง WTO เพื่อให้ดำเนินคดี และว่ามาตรการของสหรัฐกำลังทำลายความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจกับจีน พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐทบทวนและแก้ไข รวมทั้งทำงานร่วมกับจีนเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นจีนจะออกมาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ขณะที่ประธานาธิบดีคลาวเดีย เชนบอม ของเม็กซิโกแถลงผ่าน X เมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (เสาร์ที่ 1 กพ.) ตำหนิทำเนียบขาวว่าใส่ร้ายรัฐบาลเม็กซิโกกรณีใส่ร้ายรัฐบาลเม็กซิโกว่าเป็นพันธมิตรกับกลุ่มค้ายาเสพติด จึงปล่อยให้ยาเฟนตานิลจากเม็กซิโกเข้าไปแพร่ระบาดในสหรัฐ พร้อมโต้กลับว่าบริษัทผู้ผลิตอาวุธสหรัฐเองก็ลักลอบขายอาวุธปืนร้ายแรงให้กับกลุ่มค้ายาและอาชญากรในเม็กซิโกมานานหลายปี พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐเร่งควบคุมไม่ให้อาวุธผิดกฎหมายทะลักเข้าสู่เม็กซิโก พร้อมกันนี้เชนบอมก็มีคำสั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจไปร่างแผนตอบโต้ โดยให้ตอบโต้ทั้งด้านภาษีและมาตรการอื่นๆ สำหรับมาตรการภาษีคือให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 25% อัตราเดียวกับที่สหรัฐเรียกเก็บจากเม็กซิโก
ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดาก็ตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าหลายประเภทจากสหรัฐในอัตรา 25% ซึ่งรวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเบียร์, วิสกี้เบอร์เบิ้น, ผลไม้, น้ำผลไม้, ผัก, เสื้อผ้า, รองเท้าและน้ำหอม และว่ายาเฟนตานิลและผู้ลี้ภัยผิดกฎหมายที่ลักลอบเข้าสู่สหรัฐผ่านพรมแดนแคนาดามีไม่ถึง 1%
ขณะที่รัฐโนวาสโกเชียได้มีคำสั่งให้เอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสหรัฐลงจากชั้นวางสินค้าในซุปเปอรืมาร์เก็ตเพื่อเอาคืนสหรัฐทันที
การประกาศสงครามการค้าของทั้ง 3 ประเทศซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 1 กพ.) ให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และจากจีน 10% โดยให้มีผลบังคับใช้ในเวลาเที่ยงคืน 1 นาที (00.01 นาฬิกา) ของเช้ามืดวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยทรัมป์กล่าวหาเม็กซิโกและแคนาดาว่าประสบความล้มเหลวในการควบคุมยาเฟนตานิลและสารเคมีตั้งต้นไม่ให้ทะลักเข้าสหรัฐ นอกจากนี้ยังปล่อยให้คลื่นผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐ
