วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดพิธีรับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) อย่างยิ่งใหญ่
ข่าวที่น่าสนใจ
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการประสานงานการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) กลับคืนสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประกอบด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายนิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมด้วยคณะสงฆ์ไทย นำโดยพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ประธานศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ออกเดินทางโดยเที่ยวบินพิเศษจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง และเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเวลา 15.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)
เมื่อเดินทางมาถึง ณ ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายหวง จื้อฮุย ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไป สำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน ได้ลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย – จีน ในการส่งมอบพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ที่ได้อัญเชิญจากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง มาประดิษฐานในไทยเป็นการชั่วคราว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
และโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปี 2568 คืนสู่การดูแลของสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากนั้น คณะสงฆ์ฝ่ายจีนได้ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์รับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
ในการนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่อนุญาตให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง มาประดิษฐานที่ประเทศไทย เป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ ที่คนไทยได้มีโอกาสสักการะพระเขี้ยวแก้ว ในรอบ 22 ปี ตลอดจนเป็นการกระชับความความสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟ้นและความไว้วางใจ ระหว่างไทย – จีน มาอย่างยาวนาน ทำให้คนไทยปลิ้มปีติที่ได้สักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) อย่างใกล้ชิด ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดซึ่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งของไทยและจีน”
โอกาสนี้ นายหวง จื้อฮุย ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไป สำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน รองหัวหน้าคณะทำงานร่วมฝ่ายจีน ในการอัญเชิญพระบรมสาริริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทย กล่าวชื่นชมการบริหารจัดการของประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลา 73 วันที่พระบรมสาริริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ไปประดิษฐานในประเทศไทย รัฐบาลไทยได้มีการดูแลพระบรมสาริริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
ซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติของจีน เป็นอย่างดี และในขณะเดียวกันเป็นโอกาสอันดีที่คณะสงฆ์ไทยและจีนได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนา และการจัดกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน
ตลอดจนการอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้การจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
จากนั้นคณะผู้แทนฝ่ายไทยได้ร่วมขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อกลับไปประดิษฐาน ณ พระเจดีย์ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง และร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์แบบจีน ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) คือ พระทันตธาตุส่วนเขี้ยวของพระพุทธเจ้า อัญเชิญจากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งองค์พระเขี้ยวแก้วมีความยาวประมาณ 1 นิ้ว ประดิษฐานในพระสถูปทองคำประดับอัญมณีล้ำค่าตามลักษณะศิลปกรรมแบบจีน มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะถึง วันที่14 กุมภาพันธ์ 2568 รวมระยะเวลา 73 วัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย – จีน ในปี 2568
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้มีการจัดริ้วขบวนอัญเชิญรับ – ส่งเสด็จพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) อย่างยิ่งใหญ่งดงาม สมพระเกียรติ โดยมีประชาชนรับ – ส่งเสด็จตลอดเส้นทางเมื่อขบวนเคลื่อนผ่าน
พร้อมเสียง สาธุ สาธุ สาธุทั้งรับ และน้อมส่งเสด็จฯ ดังกึกก้องตลอดเส้นทาง ตลอดระยะเวลาที่ประดิษฐานในประเทศไทย ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มีประชาชนทั่วประเทศทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จำนวนรวม 2,993,737 คน เป็นแรงศรัทธาที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของชาวพุทธในประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น