เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เขียนบทความลง เดอะ เดลีย์ เทเลกราฟ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ระบุว่า หากจะป้องปรามการรุกรานของรัสเซียในอนาคต การรักษาสันติภาพอย่างยั่งยืนในยูเครน จะมีความสำคัญมาก และอังกฤษก็พร้อมสนับสนุนการสร้างหลักประกันความมั่นคงในยูเครน ด้วยการส่งทหารของอังกฤษไปที่นั่นถ้าหากจำเป็น
สตาร์เมอร์ กล่าวว่า เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้แบบไม่คิด และตระหนักในความผิดชอบอย่างลึกซึ้งต่อการส่งทหารอังกฤษไปอยู่ในเขตอันตราย แต่บทบาทใดก็ตามเพื่อช่วยสร้างประหลักความมั่นคงยูเครน คือหลักประกันความมั่นคงในภูมิภาค และความมั่นคงของอังกฤษเองด้วย การยุติสงครามรัสเซียกับยูเครน จะต้องไม่ใช่การหยุดพักแค่ชั่วคราว ก่อนวลาดิเมียร์ ปูติน โจมตีอีกครั้งหนึ่ง และว่าทหารอังกฤษและจากประเทศยุโรปอื่น ๆ อาจจะไปประจำที่ชายแดน ระหว่างพื้นที่ที่ยูเครนยึดครองกับพื้นที่ที่รัสเซียยึดครอง
ผู้นำอังกฤษ ระบุด้วยว่า ยูเครนต้องมีส่วนร่วมในการเจรจา อะไรที่น้อยกว่านั้น จะถือเป็นการยอมรับจุดยืนของปูตินว่า ยูเครนไม่ใช่ประเทศที่แท้จริง ทั้งยังย้ำว่า เส้นทางของยูเครนในการเข้าเป็นสมาชิกนาโตนั้น “ไม่อาจย้อนกลับได้” จากนี้ไป ยุโรปจะต้องเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ และมีบทบาทที่มากขึ้น
ปัจจุบัน อังกฤษจัดงบทหารในสัดส่วน 2.3% ของจีดีพี และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 2.5% โดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลา ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯต้องการให้สมาชิกนาโต เพิ่มงบทหารในสัดส่วน 5% ของจีดีพี
ความเห็นของสตาร์เมอร์ ถือเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความชัดเจนว่า กำลังพิจารณาส่งทหารรักษาสันติภาพอังกฤษไปยูเครน ก่อนหน้านี้ บอกเพียงว่าพร้อมจะมีส่วนร่วมกับข้อตกลงสันติภาพอย่างใดขณะที่ ลอร์ด ดันนัตต์ อดีตผู้บัญชาการกองทัพบกอังกฤษ (ช่วงปี 2549-2552) บอก บีบีซี ว่า การรักษาสันติภาพในยูเครน อาจต้องใช้ทหารนับแสนคน และอาจต้องใช้ทหารอังกฤษเพื่อการนี้ ราว 4 หมื่นคน แต่กองทัพอังกฤษทรุดโทรมมากจนไม่อยู่สถานะที่จะทำเช่นนั้นได้
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีกำหนดร่วมประชุมฉุกเฉินกับผู้นำยุโรป ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันนี้ เพื่อหารือสถานการณ์ในยูเครน และความมั่นคงในยุโรป จากนั้น มีแผนเดินทางไปพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สตาร์เมอร์ กล่าวว่า อังกฤษมีบทบาทเฉพาะ ที่จะต้องเชื่อมยุโรปกับสหรัฐฯให้ทำงานร่วมกันใกล้ชิด การสนับสนุนจากสหรัฐฯยังคงสำคัญ และจำเป็นต่อสันติภาพยั่งยืน เนื่องจากมีแต่สหรัฐเท่านั้นที่สามารถป้องปรามปูตินไม่ให้โจมตีอีกครั้ง