สภาสูงร้อนฉ่า "สว.สีน้ำเงิน" ซัดดีเอสไอโดนครอบงำ จวก "ทวี" จงใจแกล้งเลือกยัดผิดคดีฮั้ว
ข่าวที่น่าสนใจ
4 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา หรือ สว.โดยมีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้พิจารณาญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ที่เสนอโดยพลตำรวจตรีฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา
ทั้งนี้ก่อนเข้าญัตตินายบุญส่ง ได้กำชับให้สมาชิกระมัดระวังการอภิปราย เพราะมีบางเรื่องอาจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่ให้อภิปรายโดยวาจาไม่สุภาพ ใส่ร้ายเสียดสีบุคคลใด เพราะเป็นการถ่ายทอดสด
จากนั้นพลตำรวจตรีฉัตรวรรษ ที่วันนี้ใส่เสื้อสีน้ำเงิน ได้กล่าวถึงเหตุลการเสนอญัตติในครั้งนี้ตอนหนึ่งว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยยังขาดประสิทธิภาพ และมีความล่าช้าในการดำเนินคดี อีกทั้งมีการแทรกแซงและครอบงำจากฝ่ายการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ อีกทั้งยังมีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังในการได้รักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน ที่มีการเลือกปฏิบัติ ผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิพิเศษในการเข้ารักษาพยาบาลพิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่น นอกจากนี้คดีอุยกูร์ดำเนินการไม่โปร่งใส ขาดความชอบธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนถูกประณามจากองค์กรต่างๆ อาจก่อให้เกิดการก่อการร้ายตามมาได้ การดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมขาดความรอบคอบ ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาให้กับประเทศชาติ ได้ในอนาคต
ส่วนกรณีการได้มาซึ่ง สว.2567 พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีดีเอสไอ ร่วมกันแถลงข่าวจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าการได้มาดังกล่าวมีการฮั้ว เป็นอั้งยี่ เป็นการใส่ความต่อบุคคลที่สาม อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งฝ่ายกฎหมายวุฒิสภากำลังพิจารณาดำเนินการต่อไป นอกจากนี้อธิบดีดีเอสไอพยายามที่จะทำให้เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะการเสนอต่อคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ หรือ บอร์ด กคพ. แต่การประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจอปัญหาโรคเลื่อน สาเหตุอ้างว่ายังไม่ได้นำเข้าที่ประชุมอนุฯกลั่นกรองของดีเอสไอ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการทำงานของอธิบดีดีเอสไอ ขาดความรอบคอบ นอกจากนี้ควรจะรู้ว่าการได้มาซึ่ง สว.เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.เป็นการปฏิบัติในลักษณะข้ามแดนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ ยังตำหนิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีดีเอสว่าแถลงข่าวเป็นรายวัน เพื่อขอความชอบธรรมจากสังคมที่จะดำเนินการสอบสวน จัดให้มีการรับเรื่องร้องเรียนเป็นรายวัน เพื่อให้เห็นว่ามีผู้ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง มุ่งหวังให้สังคมเห็นว่าการได้มาซึ่งสว.ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำดังกล่าวมีการล็อกเป้าหมายในการดำเนินคดี โดยอ้างว่ามีกลุ่ม สว. 138 คน + 2 คน ซึ่งตนสงสัยว่าการสอบสวนของดีเอสไอ สามารถล็อกเป้ากลุ่ม สว.โดยแยกประเภทนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะมุ่งเน้นสีน้ำเงิน ซึ่งวันนี้ตนใส่เสื้อสีน้ำเงินมาเพื่อขออภิปราย และพร้อมที่จะรับแจ้งข้อกล่าวหาจากอธิบดีดีเอสไอ พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ เปิดเผยข้อมูลอีกว่า ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ศูนย์มีค่ามากกว่าหนึ่ง นักคณิตศาสตร์ระดับโลกยังคิดไม่ได้ แต่มีผู้นำทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยคิดได้ และได้จำนวน สว.มาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกที่ได้ไปพักในโรงแรมใกล้กับอิมแพค เมืองทองธานี ได้พบเห็นว่ามีการปิดห้องประชุมลับ มีผู้เข้าประชุมประมาณ 400 คน แจกจ่ายเอกสารหมายเลขที่จะให้เลือก ซึ่งลักษณะเช่นนี้อยากถามอธิบดีดีเอสไอ ท่านรู้หรือไม่ และได้รับการร้องเรียนหรือไม่ หรือพอจะมีข้อมูลสืบสวนเพื่อเป็นคดีพิเศษหรือไม่ เพราะเป็นขบวนการสมคบกันตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด และผลของการดำเนินการก็ได้ตัวเลขที่น่าสนใจคือ 21+24 คล้ายกับตัวเลข 138+2 ฉะนั้นตนฝากปัญหาว่าตัวเลขชุดนี้ ท่านอธิบดีดีเอสไอ สามารถที่จะสืบสวนสอบสวนตามที่ท่านกล่าวหาเป็นหารฮั้ว อั้งยี่ฟอกเงินหรือไม่
พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ ทิ้งท้ายว่า การที่ดีเอสไอพยายามให้บอร์ด กคพ.พิจารณาเป็นคดีพิเศษ อาจกำลังเป็นการเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งบุคคลธรรมดาหรืออัยการสามารถยื่นร้องต่อศาลเพื่อให้วินิจฉัยและออกคำสั่งให้ยุติการกระทำดังกล่าวได้ แลอาจจะเข้าข่ายกรณียุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด่างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยมีเจตนาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายของแผ่นดิน หรือทำให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็น เพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฏหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรและอธิบดีดีเอสไอ และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการ
ขณะที่นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สว.อภิปรายแย้งว่า ตอนแรกตนตั้งใจจะขอบคุณผู้นำเสนอญัตตินี้ แต่พอฟังท่านเปิดญัตติ ดูเหมือนท่านจะมีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งไม่ตรงกับญัตติที่ตนจะอภิปราย เพราะตนไม่ใช่สีน้ำเงิน และก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านพูดมาแต่อย่างใด จากนั้นนางสาวนันทนาได้อภิปรายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่แตกต่างเหมือนอยู่กันคนละพิภพ ถ้ามีเงินมีอำนาจก็จะได้อัพเกรดเป็นเทวดาจุติมาที่วิมานชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนคนจนไม่มีอำนาจ ก็เป็นสัมพเวสี รอรับการรักษาอยู่แถวห้องพยาบาลในเรือนจำ ถ้าจะตายก็ต้องตายในเรือนจำ ซึ่งปี 2563 ถึง 2567 มีผู้ต้องขังเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย 4,152 ราย สาเหตุเกิดจากความล่าช้าในการรักษาพยาบาล พร้อมยกตัวอย่างไทม์ไลน์การเสียชีวิตในเรือนจำของผู้ต้องขังคดี 112 ทั้ง นายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ อากง และกรณีของบุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม รวมถึงการรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังคดี 112 คนอื่นๆ โดยเฉพาะที่เป็นแนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว
ต่อมาเป็นคิวของพลตำรวจโทบุญจันทร์ นวลสาย สว. ที่กลับมาวิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีดีเอสไออีกครั้ง ในการจะดำเนินคดีสว.ในข้อหาอั้งยี่ ซึ่งเป็นการทำความผิดทางอาญา แต่ สว.มาจากการคัดเลือกหรือเลือกกันเองเพื่อเป็น สว. อีกทั้งการรวมตัวเป็นการกระทำความผิดทางอาญาใช่หรือไม่ ถ้าการรวมตัวกันเป็นความผิดทางอาญา ให้ดีเอสไอไปตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วประเทศ ตีความผิดหรือไม่ จินตนาการหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเป็นอั้งยี่ ดังนั้นส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่มีการกล่าวคำนี้ ซึ่งย้ำว่าเรามาด้วยครรลองที่ถูกต้อง และไม่กลัวการตรวสอบ แต่หลักคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด แต่ยังไม่ทันไร ไมค์จ่อปากยุติธรรมหรือดีเอสไอก็พูดไป ซึ่งทำงานทำหน้าที่ไป แต่อย่าเอาปากทำ ลิ้นมันจะพันคอท่าน อย่าพูดมาก ถ้าทำไปพูดไปความผิดจะตามมาหลายเรื่อง เช่น หมิ่นประมาท และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตอนนี้สว.กำลังทำงานไปด้วยดี แต่มีมารผจญ และคนบางกลุ่มมาพูดให้ร้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
