“อ.แก้วสรร” ยันกม.ไม่เปิดช่อง “ดีเอสไอ” ดันฮั้วเลือกสว.เป็นคดีพิเศษ ชี้หน้าที่กกต.ถ้าไม่ทำฟ้องเอาผิด – Top News รายงาน
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย เขียนบทความในรูปถาม-ตอบเรื่อง อำนาจดีเอสไอในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง สว.” มีเนื้อหาว่า
ความผิดหลายบท
ถาม ดีเอสไอ กำลังขอคณะกรรมการให้มีมติ รับคดี”ฮั้วเลือกตั้ง สว.”เป็นคดีพิเศษ โดยอ้างว่ากกต.มีอำนาจเฉพาะความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนตนจะสอบสวนแต่เฉพาะความผิดฐานอื่น คือฐานอั้งยี่ และฟอกเงิน เท่านั้น ขอถามว่า การกระทำความผิดครั้งเดียวแต่ผิดหลายบทอย่างนี้ จะแยกการสอบสวนเป็นสองสายขนานกันไปอย่างนี้ได้หรือครับ
ตอบ แยกไม่ได้ครับ ขืนให้แยกได้คดีก็จะเดินไปถึงศาลสองศาล แล้วสองศาลนั้นจะตัดสินแยกกัน ต่างกันกันได้อย่างไร ในเมื่อมีมูลคดีมาจากการกระทำเดียวกัน
คดีที่ทำผิดกระทงเดียวผิดหลายบทอย่างนี้ กฎหมายบอกให้ลงโทษบทที่โทษหนักที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าทุกบทต้องอยู่ในคดีเดียวกันอยู่แล้ว ดีเอสไอจะไปแยกสอบสวนอย่างนั้นไม่ได้
ถาม ตัวอย่างใน กฎหมาย ป.ป.ช. วางแนวปฏิบัติแก้ปัญหานี้ไว้อย่างใด
ตอบ เขาระบุไว้ว่า ในคดีคอร์รัปชันคดีหนึ่งๆนั้น ทุกฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับคดีคอร์รัปชัน เช่นมีการปลอมสารด้วย เช่นนี้ กฎหมาย ป.ป.ช.ก็ให้ถือความผิดปลอมเอกสารนี้เป็นคดีคอรัปชั่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่กฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเอง ที่มีระบุให้ความผิดฐานใดบ้างเป็นคดีพิเศษนั้น ก็บัญญัติไว้ด้วยเช่นกันว่า ให้ถือความผิดฐานอื่นที่เกิดเกี่ยวเนื่องด้วยเป็นคดีพิเศษด้วย
องค์กรสอบสวนหลัก
ถาม ผมถูกเจ้าหน้าที่รีดไถมีหลักฐานเป็นคลิปชัดเจน ผมไปแจ้งความตำรวจได้ไหม หรือต้องแจ้ง ป.ป.ช.เท่านั้น
ตอบ แจ้งตำรวจได้เสมอครับ แต่งานนี้ ป.ป.ช.เป็นองค์กรสอบสวนหลัก กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุให้ตำรวจสอบเบื้องต้นก่อน แล้วรายงาน ป.ป.ช.ใน 30 วัน ว่าจะรับโอนเรื่องไปหรือไม่ หรือถ้าคุณไปร้อง ป.ป.ช.ก่อน แล้วเขาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้ตำรวจท้องที่รับจัดการต่อไปก็ได้ ระบบที่ให้มีองค์กรสอบสวนหลักอย่างนี้ การสอบสวนซ้อนกันจึงไม่เกิดขึ้น