“บิ๊กหวาน” เผยจ่อหมายจับ บอสจีนแก๊งคอลฯเพิ่ม 1 ราย หลังพบเป็นผู้บงการ-จ่ายเงิน

"บิ๊กหวาน" เผยจ่อหมายจับ บอสจีนแก๊งคอลฯเพิ่ม 1 ราย หลังพบเป็นผู้บงการ-จ่ายเงิน

วันนี้ (5 มีค 68) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับผลการสอบสวน 119 คนไทย ที่ถูกจับกุมในปอยเปต และส่งกลับมาดำเนินคดีในไทย โดยมีผู้ถูกที่ตกเป็นผู้ต้องหา 100 คน

โดย พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ ใช้วิธีการหลอกลวงหลายรูปแบบ ทั้งการเทรดหุ้น romance scam เปิดเว็บพนันออนไลน์ รวมถึงหลอกเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ที่ดิน เพื่อลวงเงินจากผู้เสียหาย

ซึ่งขณะนี้จากผู้ต้องหาทั้งหมด 119 คน มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้ว 100 คน ส่วนอีก 15 คน ที่ไม่ถูกออกหมายจับอยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดคดีใดหรือไม่ โดยเบื้องต้นพบว่า สมัครใจไปทำงานเกี่ยวกับพนันออนไลน์ ส่วนอีก 4 คนที่เป็นเยาวชนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเช่นกัน

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนการดำเนินการขยายผลไปสู่ บอสชาวจีนนั้น พบพฤติกรรมว่า ชาวจีนทั้ง 3 ราย ที่เป็นระดับบอส มีหน้าที่สั่งการและกำหนดการจ่ายเงิน รวมถึงกำกับดูแลแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ เบื้องต้นได้มีการสเก็ตช์ภาพ จากคำให้การของผู้ต้องหา จนสามารถออกหมายจับได้ 2 ราย ส่วนอีก 1 ราย อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติออกหมายจับ โดยหลังจากนี้ จะร่วมมือกับทางการจีนขยายผลว่า บุคคลทั้ง 3 รายเป็นใคร แต่เบื้องต้นยังไม่พบประวัติหรือหมายจับของตำรวจสากลแต่อย่างใด

พล.ต.อ. ธัชชัย ยอมรับว่า กระบวนการคัดกรองตามกลไก NRM ในอดีต ทีมสหวิชาชีพยากที่จะพิสูจน์ทราบว่า เป็นเหยื่อที่แท้จริงหรือไม่ ทำให้ที่ผ่านมาไม่มีใครถูกดำเนินคดี จึงทำให้คนไทยขายชาติมักใช้เป็นช่องทางในการกลับไปกระทำผิดซ้ำ แต่กระบวนการคัดกรองในครั้งนี้ ได้เพิ่มมิติในเรื่องของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเข้าไปช่วยในการสืบสวนและตรวจสอบด้านเทคโนโลยี รวมทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 100 นาย ทำให้มั่นใจว่า เจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานพอที่จะสามารถเอาผิดคนไทยที่กระทำผิดได้ โดยเชื่อว่ายังมีคนไทยอีกนับ 1,000 คนที่ร่วมอยู่ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกคนไทยด้วยกัน

 

ดังนั้น หลังจากนี้ ทางการไทยได้ร่วมกับทางการกัมพูชา ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ไม่ได้มีทางการจีนเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยทั้งสองประเทศจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันถึงที่ตั้งของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทางการไทยจะขอให้ส่งตัวคนไทยทั้งหมดมาลงโทษในประเทศไทย เนื่องจากบทลงโทษที่กัมพูชาเป็นโทษเบา เพราะเป็นเรื่องของการเข้าเมืองผิดกฎหมายและการทำงานแบบผิดกฎหมาย แต่เมื่อดำเนินคดีในประเทศไทย จะมีโทษหนักจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะไม่หลอกลวงคนกัมพูชา แต่จะหลอกลวงคนไทย

ทั้งนี้ จากการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา รวมถึงมาตรการตัดไฟ ตัดน้ำมัน ตัดเน็ต ตั้งแต่เดือนม.ค. ถึงปัจจุบัน ส่งผลให้สถิติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงถึง 30% และจากการตรวจสอบกลุ่มที่เป็นเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. – 26 ก.พ. พบว่า การเดินทางการเดินทางไปฝั่งเมียวดีไม่มีการใช้กำลังประทุษร้าย และทุกคน สมัครใจในการเดินทางไปทำงานเอง.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

คนร้าย ขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ป่วนกลางเมืองยะลา ชาวบ้านบาดเจ็บเพียบ
"ตร.ภูธรภาค 7" เผยดำเนินคดีแล้ว "2 บริษัท" เซ่นปม "เครนก่อสร้าง" พังถล่มทับคนงานดับ 6 ราย
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) 'แพนด้ายักษ์' จีนใช้ชีวิตสุขใจกลางหิมะในส่านซี
เกาหลีใต้ปฏิเสธหลังถูกทรัมป์กล่าวหาเก็บภาษีสหรัฐแพง
เรื่องใหญ่แล้ว! “พุดเดิ้ล” เปิดปากครั้งแรก “แตงโม” ไม่เคยใช้คำนี้ตอบแชท
ศาลปกครองสูงสุด สรุปคืบหน้าคดีที่ดินเขากระโดง อยู่ในขั้นตอนชี้แนวเขต วินิจฉัย ร.ฟ.ท.ควรได้ค่าเสียหายย้อนหลังหรือไม่
“เสมา 1 ” แจงคำสั่งศาลปกครอง เลิกกฎเก่า ศธ.ปรับระเบียบทรงผมนักเรียน
มหาเศรษฐีฮ่องกงขายหุ้นท่าเรือคลองปานามาให้สหรัฐ
CP B&F ขนนวัตกรรมเครื่องดื่มแห่งอนาคต โชว์ศักยภาพในงาน THAIFEX-HOREC Asia 2025
ศาลปกครองสูงสุด เผยเหตุตีตกคำร้องขอคุ้มครอง “บิ๊กโจ๊ก”

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น