ศาลปกครองสูงสุด เผยเหตุตีตกคำร้องขอคุ้มครอง “บิ๊กโจ๊ก”

ศาลปกครองสูงสุด เผยเหตุตีตกคำร้องขอคุ้มครอง “บิ๊กโจ๊ก”

วันนี้ (5 มี.ค.) ที่สำนักงานศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ นายประวิตร บุญเทียม รองประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ ประธานศาลปกครองสูงสุด พิจารณาให้นำประเด็นข้อกฎหมายในคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ว่า คดีนี้กฎหมายกำหนดให้สามารถนำคดีฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้เลย ไม่ต้องฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น เมื่อศาลปกครองสูงสุดรับคดีไว้พิจารณาทางผู้ฟ้องก็ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาฯ คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนซึ่งวิธีการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดจะเหมือนกัน คือการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว องค์คณะจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งในศาลปกครองสูงสุดองค์คณะจะประกอบด้วยตุลาการ 5 คน

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนการนำเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด กฎหมายให้เป็นอำนาจของประธานศาลปกครองสูงสุด ที่เห็นว่า มีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เป็นประเด็นอันสำคัญ ควรเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ จึงเป็นดุลยพินิจของประธานศาลปกครองสูงสุด ที่นำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็มติที่ประชุมใหญ่มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

เมื่อถามว่า ประธานศาลปกครองสูงสุดรู้แนวคำวินิจฉัยขององค์คณะทั้ง5 ก่อนพิจารณานำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่หรือไม่ นายประวิตร กล่าวว่า กระบวนการทำคำพิพากษาของศาลปกครองไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุด คำพิพากษาก็จะต้องตรวจสอบ โดยในศาลชั้นต้นจะให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ทั้งนี้ ในศาลสูงก็จะให้ประธานศาลปกครองสูงสุด ตรวจสอบก่อนทุกคดี ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงคำพิพากษา เป็นระบบของศาลโดยทั่วไป แต่ไม่สามารถจะไปสั่งแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงความเห็นอะไรได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าประธานศาลปกครองสูงสุด หรือรองประธานศาลปกครองสูงสุดที่รับมอบอำนาจก็จะรู้แนวคำวินิจฉัยขององค์คณะ

โดยระบบก็เห็นว่ามีข้อกฎหมายข้อเท็จจริงที่จะควรนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกว่า คดีไหนจะเข้าที่ประชุมใหญ่ ส่วนที่บอกว่าประธานสูงสุดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับองค์คณะหรือไม่ก็มี แต่เรื่องนี้เห็นว่า เป็นคดีสำคัญ ที่ต้องวางหลักกฎหมายที่สำคัญ จึงควรให้ระดมความคิด โดยที่ประชุมใหญ่ ไม่จำเป็นว่าประธานจะต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับองค์คณะเท่านั้น

ถามต่อว่าในคดีวินัยหรือคดีอาญาของอดีต รอง ผบ.ตร.ตอนนี้ที่กำลังดำเนินการอยู่จะมีผลกระทบต่อคดี ที่อยู่ในศาลปกครองสูงสุด เเละสามารถนำความคืบหน้ามายื่นเพิ่มได้หรือไม่ รองประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า ศาลปกครองมีอำนาจในคดีคำสั่งทางปกครอง เช่นคดีการลงโทษทางวินัย คดีการให้ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง คดีของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ในเวลานี้เป็นคดีให้ออกจากราชการไว้ก่อนคดีเดียว แต่ถ้าต่อไปมีคดีสั่งให้ออกซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองก็สามารถนำมาฟ้องเพิ่มเติมเป็นอีกคดี ศาลก็จะดูเงื่อนไขการฟ้องและเนื้อหาคดีต่อไป

ซึ่งในส่วนคดีปกครองกับคดีอาญาก็จะเป็นคดีที่คู่กันมาเสมอ โดยเฉพาะเรื่อง ป.ป.ช.ชี้มูล ทำให้อาจจะมีคดีอาญาปะปนอยู่ด้วย ซึ่งศาลปกครอง ก็ไม่ละเลยที่จะดูคดีอาญา และผลของคดีในส่วนอาญาที่ศาลตัดสินไว้แล้ว แต่ศาลปกครองก็มีดุลยพินิจที่จะรับฟังพยานหลักฐาน โดยไม่ผูกพันกับคดีอาญานั้น แต่ก็จะเอามาประกอบ ไม่ได้ละทิ้ง แต่ต้องมีคู่กรณีนำเสนอมาให้ศาลได้เห็น

เมื่อถามว่า คดีนี้ศาลมีความหนักใจหรือไม่ เนื่องจากในชั้นคุ้มครองชั่วคราวความเห็นขององค์คณะที่มีกระเเสข่าวหลุดมาก่อนเเละสุดท้ายมีความเห็นขัดกันกับมติของที่ประชุมใหญ่ นายประวิตร กล่าวว่า การทำงานของศาลจะว่ายากก็ยาก ไม่ยากก็ไม่ยากแต่ใช้เสียงข้างมากตัดสิน ไม่ว่าจะในองค์คณะหรือที่ประชุมใหญ่ก็ใช้เสียงข้างมากตัดสิน ก็ไม่มีอะไรหนักใจ ส่วนเรื่องที่โดนกลับความเห็นมองว่า การเป็นตุลาการ ก็ต้องยึดมั่นในความเห็นตัวเอง แต่ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับเสียงข้างมาก ตุลาการทุกคนจะต้องเจอแบบนี้ เมื่อแสดงความเห็นไป แต่เจอเสียงข้างมาก ก็ต้องจบตามเสียงข้างมาก ถ้าหนักใจก็คงหนักตั้งแต่เข้าทำงานใหม่ๆ แล้ว

 

 

 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สุดท้ายเเล้วคำวินิจฉัยคดีหลักจะต้องนำเข้าที่ประชุมใหญ่ หรือต้องใช้เงื่อนไขเดียวกันหรือไม่ รองประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า อาจจะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้แล้วแต่ประธานศาลปกครองสูงสุด คดีนี้รอบแรกในเรื่องวิธีการชั่วคราวมีการนำเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดไปแล้ว แต่เมื่อลงในเนื้อหาว่าคำสั่งให้ออกจากราชการชอบหรือไม่ ยังไม่ทราบว่า จะต้องนำเข้าที่ประชุมใหญ่หรือไม่ เป็นดุลยพินิจของประธานศาลปกครองสูงสุด หลักกฎหมายใช้คำว่าประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นสมควร แต่ในทางปฏิบัติก็จะเห็นว่า เป็นคดีสำคัญ มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ทุนทรัพย์สูงประชาชนให้ความสนใจ ก็จะใช้เหตุต่างๆ เหล่านี้.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

หนุ่มใหญ่หลับลึก ไฟไหม้บ้านไม่รู้ตัว ชาวบ้านเคาะบ้าน ตะโกนเรียกจนตื่นรอดตายหวุดหวิด
เช็กด่วน "บอร์ดคดีพิเศษ" ชื่อไหนเข้าร่วมชี้ชะตา "ฮั้วเลือกสว."
ชาวสระบุรี ร่วมงานบุญยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีโบราณกว่า 100 ปี "แห่พระเขี้ยวแก้ว"
ยังไม่สงบ "ไฟป่าเชียงคาน" เปลวไฟแดงทั้งภูเขา ตลอดทั้งวัน เสียหายแล้วหลายร้อยไร่
มาแน่ "อุตุฯ" ประกาศฉบับ 5 เตือน พายุฤดูร้อนถล่ม ฝนหนัก ลมแรง ลูกเห็บตก ฟ้าผ่า เช็กเลยจว.ไหนโดนบ้าง
แหกทุกขดไส้ แฉคนไทยสาย NGOs เขียนเอง บทความส่งสื่อใหญ่ อ้าง "สหรัฐ-แคนาดา" เสนอตัวรับชาวอุยกูร์
นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์ Thailand Tourism บนเวที “ITB Berlin 2025” ตั้งเป้าดึงนทท.ทั่วโลกเข้าไทย 39 ล้านคน
คนร้าย ขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ป่วนกลางเมืองยะลา ชาวบ้านบาดเจ็บเพียบ
"ตร.ภูธรภาค 7" เผยดำเนินคดีแล้ว "2 บริษัท" เซ่นปม "เครนก่อสร้าง" พังถล่มทับคนงานดับ 6 ราย
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) 'แพนด้ายักษ์' จีนใช้ชีวิตสุขใจกลางหิมะในส่านซี

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น